เด็กควรเริ่มเรียน "ภาษาที่สอง" เมื่อไร ?
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดหรือ Sweet spot ของการเรียนภาษาของเด็กคือช่วงไหนนะ
Q : ...“พ่อแม่จะรับมือกับการต่อรองของลูกอย่างไรดี ?”...
A : ...“เราสามารถรับมือกับการต่อรองของเด็ก ๆ ได้เป็นสองช่วง ได้แก่ ก่อนที่เด็ก ๆ จะทำการต่อรองกับหลังจากที่เด็ก ๆ ทำการต่อรอง”...
ในกรณีนี้ เด็กควรจะทำการบ้าน-งานบ้านก่อนจะไปเล่น เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้ความสำคัญของสิ่งที่จำเป็นก่อนสิ่งที่ต้องการ ที่สำคัญเมื่อเด็กทำสิ่งที่จำเป็นเสร็จแล้ว เขาจะสามารถทำในสิ่งที่ต้องการได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ถูกขัดจากการต้องไปทำสิ่งใดต่อ ความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่ที่เขาไปหยุดเขาจากการทำสิ่งที่ชอบอยู่ ก็ไม่เกิดขึ้น
ถ้าหากเปรียบเทียบให้เห็นภาพ คงคล้ายกับการที่ให้ลูกกินอาหารหลักก่อนของหวาน ถ้าเราเริ่มด้วยการให้เด็กกินของหวานก่อน เด็กอาจจะอิ่มเกินกว่าจะกินอาหารหลักได้ เช่นเดียวกัน
หากเด็ก ๆ ใช้เวลาไปกับการทำสิ่งที่ต้องการก่อนสิ่งที่จำเป็น เมื่อถึงเวลาที่ต้องกลับมาทำสิ่งที่จำเป็น เขาอาจจะหมดแรงและความสนใจไปเสียก่อน
ก่อนที่เด็กจะไปเล่น เราควรกำหนดเวลาให้ชัดเจนว่า เขาจะได้เล่นถึงเมื่อไหร่ ในเด็กที่โตพอจะรับรู้เรื่องเวลา ให้พูดคุยให้ชัดเจนว่า เขาต้องการเวลาจากเราเท่าไหร่ ถ้าหากเราไม่สามารถให้ตามที่เขาขอได้ ให้เจอกันตรงกลาง ที่สำคัญพ่อแม่จะเข้าไปเตือนเขาก่อนหมดเวลากี่นาที การกำหนดระยะเวลาจะช่วยให้เด็ก ๆ รับรู้ข้อตกลงในการเล่น และทำให้การต่อรองลดลง
เคล็ด(ไม่)ลับ กฎ 5 นาที
ให้การเตือนลูกก่อนหมดเวลา 5 นาที จะทำให้เด็ก ๆ มีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจก่อนยุติการเล่น ใช้นาฬิกาเป็นตัวช่วยเตือน แทนการพูด เช่น นาฬิกาทราย นาฬิการจับเวลา เป็นเครื่องช่วยเตือนเพราะ เด็ก ๆ บางคนอาจจะบอกว่า ...“แม่มั่วหรือเปล่า ยังไม่ทัน 10 นาทีเลย”... แต่ถ้ามีนาฬิกา พวกเขาจะมีแนวโน้มโต้แย้งน้อยลง
ทำข้อตกลงกันให้ชัดเจนว่า ...“บ้านของเราจะกินข้าวเวลาไหน”... และ ...“สมาชิกแต่ละคนจะรับผิดชอบงานอะไรในบ้าน”...
ถ้าหากเป็นเด็กเล็ก เราอาจจะเริ่มต้นจากการมอบหมายหน้าที่ในการดูแลตัวเอง (Self-care) ได้แก่ อาบน้ำ แปรงฟัน แต่งตัว และเก็บของเล่น เมื่อเด็ก ๆ เริ่มดูแลตัวเองได้ดีแล้ว ค่อย ๆ มอบหมายหน้าที่ภายในบ้านให้เขาร่วมรับผิดชอบ เช่น ช่วยเก็บจานชามและเช็ดโต๊ะหลังกินข้าวเสร็จ ดูแลรดน้ำต้นไม้ ให้อาหารปลา เป็นต้น
ตารางเวลาและหน้าที่ที่ชัดเจน จะทำให้เด็ก ๆ รับรู้ถึงสิ่งที่เขาต้องดูแลและหน้าที่ที่ต้องทำก่อนไปทำสิ่งอื่นได้ง่ายขึ้น และการฝึกฝนตั้งแต่เล็ก ๆ จะทำให้เด็ก ๆ คุ้นเคยกับการรับผิดชอบต่อหน้าที่
เพราะถ้าหากเราผิดสัญญากับเด็กบ่อย ๆ เขาจะไม่เรียนรู้ว่า “คำพูดของเราเชื่อถือได้” และ “เรามักจะโอนอ่อนและยอมให้เขาเสมอในท้ายที่สุด” ดังนั้นถ้าเราอยากให้ลูกทำตามข้อตกลงที่ทำร่วมกัน และไม่ต่อรอง เราควรพูดคำไหนคำนั้น การกระทำของเราก็ต้องเป็นไปตามคำที่เราพูดด้วย เช่น ...“เราตกลงกันไว้ที่ 10 นาที ตอนนี้หมดเวลาแล้ว กลับบ้านกัน”... พูดจบก็ต้องพากลับบ้าน หรือ ...“ลูกขอแม่แค่ 100 บาท ขอราคาเกินงบที่เราตกลงกันไว้ ถ้าลูกอยากได้ เราไปเก็บเงินเพิ่ม แล้วค่อยมาซื้อด้วยกันใหม่นะ”... เป็นต้น
ถ้าหากผู้ใหญ่ไม่รักษาสัญญาหรือคำพูด เด็ก ๆ อาจจะกลัวว่า “ผู้ใหญ่อาจจะไม่ทำตามคำพูดในครั้งนี้เช่นกัน” เช่น ...“ครั้งหน้าค่อยมาเล่นด้วยกันใหม่”... เด็กอาจจะสงสัยในตัวผู้ใหญ่ว่า ...“ครั้งหน้าจะมีอยู่จริงหรือ ?”...
ในกรณีที่ลูกต่อรองขอเล่นต่อ ขออยู่ต่อ ขอทำบางสิ่งบางอย่างต่อ แม้จะหมดเวลาแล้ว ให้ผู้ใหญ่แสดงความเข้าใจ แต่มั่นคงไม่ใจอ่อน เช่น ...“แม่รู้ว่าลูกอยากเล่นต่อ แต่ตอนนี้หมดเวลาแล้วลูก พรุ่งนี้ค่อยมาเล่นใหม่”... หรือ ...“พ่อเข้าใจว่าลูกยังทำไม่เสร็จ แต่ตอนนี้เราต้องไปแล้ว เราเก็บไปทำต่อวันหลังนะลูก”... เป็นต้น
ให้เราใช้การกระทำที่ชัดเจนเพื่อบ่งบอกว่า “หมดเวลาแล้ว” หรือ “พอแล้ว” เช่น ...“เราไปกันเถอะ”... แล้วจูงมือเขาออกมา หรือ ...“มาช่วยกันเก็บของกัน”... แล้วพาเขาเก็บของ เป็นต้น
สุดท้ายหากเด็ก ๆ ร้องไห้โวยวาย (มักจะเกิดขึ้นกับเด็กเล็ก) ให้เราพาเขาออกมาจากตรงนั้น แล้วหามุมสงบนั่งลงกับเขา แล้วรอเขาพร้อมจะรับฟัง แล้วจึงย้ำเตือนกติกาหรือข้อตกลงที่เราทำร่วมกันก่อนมาเล่นหรือมาที่นี่ เช่น ...“วันนี้พ่อ/แม่ คุยกับลูกว่า เราจะมาเล่นกัน 1 ชั่วโมง ตอนนี้ครบเวลาแล้ว เราต้องกลับบ้านกัน ครั้งหน้าเราจะมาใหม่”... เป็นต้น
เราควรให้เขาได้รับผิดชอบต่อการตัดสินใจนั้น เช่น เมื่อเด็กยังต่อรองเวลา และไม่ทำตามข้อตกลง ผลลัพธ์ที่เด็ก ๆ อาจจะต้องรับผิดชอบ คือ การถูกงดกิจกรรมที่เขาจะอยากทำ เพื่อมารับผิดชอบงานหรือหน้าที่ของเขาให้เสร็จก่อน
เป็นต้น
นอกจากนี้ การที่เด็กโตไม่สามารถรับผิดชอบงานหน้าที่หรือทำงานให้ทันเวลาได้ แปลว่า เขาอาจจะกำลังเผชิญปัญหาบางอย่างที่เขาต้องการความช่วยเหลือ เช่น ปัญหาสมาธิที่ไม่สามารถจดจ่อได้ต่อเนื่อง (สมาธิสั้น) หรือ มีเรื่องบางอย่างกำลังมากวนใจเขา หรือปัญหาเรื่องทักษะ งานวิชานั้นยากเกินไป หรือ เขาไม่สามารถทำได้ตามวัยของเขา เป็นต้น
ณ จุดนี้ พ่อแม่และผู้ใหญ่ต้องลงมาช่วยเหลือ หรือพาเด็กไปพบผู้เชี่ยวชาญที่สามารถให้คำปรึกษาได้ เช่น จิตแพทย์ นักจิตวิทยา นักกิจกรรมบำบัด และผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ
...“อย่ามองเห็นเพียงการต่อรองเวลา แต่ให้มองลึกไปว่า เพราะอะไรเด็ก ๆ จึงไม่สามารถทำงานได้ภายใต้เงื่อนไจปกตินี้"...
พวกเขาจะไม่พยายามต่อรองในครั้งต่อ ๆ ไป แต่เขาจะเรียนรู้ก็ต่อเมื่อ ผู้ใหญ่คนนั้นมั่นคง และทำเช่นนั้นสม่ำเสมอ หากมีผู้ใหญ่คนอื่นที่ยอมรับข้อต่อรองของเขา เด็กจะมีแนวโน้มใช้การต่อรองต่อไป ดังนั้นผู้ใหญ่ควรรับมือเด็ก ๆ ไปในทิศทางเดียวกัน “ตกลงและตั้งกติกาให้ชัดเจน” “อะไรได้ อะไรไม่ได้”
❤︎ 1. การเลี่ยงงานหรือประวิงเวลา
เด็ก ๆ อาจจะใช้การต่อรอง เพื่อที่จะเลี่ยงงาน ประวิงเวลา หรือ ลดปริมาณงานลง ซึ่งอาจจะทำให้เด็กคนนั้นขาดโอกาสในการฝึกฝน และเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเอง
❤︎ 2. การไม่สามารถยับยั้งชั่งใจหรืออดทนรอคอยได้
เมื่อการต่อรองทำให้เด็ก ๆ ได้ในสิ่งที่เขาต้องการทันที พวกเขาอาจจะไม่ได้ฝึกฝนการรอคอย ส่งผลให้พวกเขาไม่สามารถการเรียงลำดับความสำคัญก่อน-หลังได้
❤︎ 3. การไม่เคารพกติกา
เมื่อการต่อรองได้ผล เด็ก ๆ อาจจะเรียนรู้ว่า “กติกาหย่อนยาน” “ผู้ใหญ่คนนี้ใจอ่อน" พวกเขาไม่จำเป็นต้องทำตามกติกาหรือทำตามที่ผู้ใหญ่คนนี้บอกก็ได้ ถ้าพวกเขาไม่อยากทำ โดยใช้การต่อรอง
❤︎ 4. การไม่ตรงต่อเวลา
เมื่อเด็ก ๆ เคยชินกับการต่อรองเวลา และการชะลอเวลาไปเรื่อย ๆ พวกเขาอาจจะขาดโอกาสในการเรียนรู้ “การบริหารจัดการเวลาที่มีอยู่ให้เหมาะสม” ซึ่งนำไปสู่ “การไม่ตรงต่อเวลา” และ “การผลัดผ่อนเวลา” ไปเรื่อย ๆ
"การต่อรอง” ในวัยเด็ก อาจจะดูเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่วินัยที่ก่อร่างสร้างขึ้น ก็เริ่มต้นจากรากฐานของเรื่องเล็ก ๆ เหล่านี้เช่นกัน
สุดท้าย "สายสัมพันธ์ที่ดี ความมั่นคงในคำพูดและการกระทำ" จะนำไปสู่ความเชื่อใจที่เด็ก ๆ จะมีให้กับคำพูดของเรา