เด็กควรเริ่มเรียน "ภาษาที่สอง" เมื่อไร ?
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดหรือ Sweet spot ของการเรียนภาษาของเด็กคือช่วงไหนนะ
เมื่อไหร่ก็ตามที่ปล่อยให้ลูกเล่นหรือทำอะไรด้วยตัวเองอย่างอิสระ เมื่อนั้นคุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องทำใจถึงความเลอะเทอะที่จะตามมา ถึงแม้จะคอยดูอยู่ห่าง ๆ แต่หลาย ๆ บ้านก็คงไม่แคล้วที่จะต้องมีเสียงห้าม ลอยตามลมมาแบบถี่ ๆ
บ้านมนุษย์พ่อเองก็เคยเป็นครับ ช่วงแรก ๆ ที่ลูกชายอายุราว ๆ สองขวบ เริ่มเดินแข็งวิ่งได้ปร๋อ ก็มีความเริ่มซ่ากล้าท้าลองมากขึ้น เมื่อไหร่ก็ตามที่พาลูกลงไปเดินเล่นหลังบ้าน เมื่อนั้นจะต้องมีการเตือนการห้ามแบบถี่ ๆ ชนิดที่ผมเองยังรำคาญตัวเอง
ลูกจะขุดดิน .. “ขุดทำไมลูก ดูสิ ! ดินกระจุยเลอะเทอะไปหมดแล้วเนี่ย”...
ลูกจะเด็ดใบไม้ .. “เอ้า เดี๋ยวก็โดนมดกัดหรอก แล้วใบไม้นี่มันมีขน ๆ ด้วย จะแพ้มั้ย เดี๋ยวได้คันคะเยอทั้งตัวแน่”...
ลูกจะหยิบไม้กวาดขยะมาเล่น .. “ไม่มีอะไรจะเล่นแล้วไง ไม้กวาดเค้าเอาไว้กวาดเศษขยะนอกบ้านสกปรกจะตาย”...
ครั้นลูกเดินไปดึงสายยางเปิดก๊อกน้ำ .. “โอ้ย เดี๋ยวก็เปียกหมดหรอก นี่เพิ่งเปลี่ยนเสื้อลงมานะ วันนึงจะเปลี่ยนเสื้อกี่ตัวเนี่ย”...
คิดดูสิครับ ห้ามกันขนาดนี้ ลูกเองก็คงจะมีคำถามขึ้นในใจว่า "แล้วพ่อจะพาลงมาเดินเล่นทำไม ?"
จนมาวันหนึ่ง ผมพามนุษย์ลูกออกไปเล่นที่สวนสาธารณะ ได้เห็นคุณพ่อคุณแม่ชาวต่างชาติที่ปล่อยให้ลูกวิ่งเท้าเปล่า ปีนป่ายเครื่องเล่นกันเต็มที่ ลงไปนอนกลิ้งบนพื้นหญ้าเลยก็มี เด็กก็อายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกชายของผมนี่แหละ แต่ที่เห็นได้ชัดก็คือทักษะการปีนป่ายการทรงตัวคล่องแคล่วกว่าลูกชายของผมมาก จนผมต้องกลับมาคิดใหม่ทำใหม่กันเลยทีเดียว
หลังจากได้ตั้งสติ อ่านหนังสืออ่านบทความของคุณหมอหลาย ๆ ท่าน จึงคิดได้ว่า ..."ถึงเวลาเปลี่ยนทัศนคติจากโหมดคุณครูเจ้าระเบียบมาเป็นยามชายฝั่ง ที่คอยดูแลความปลอดภัยอยู่ห่าง ๆ ลดการจินตนาการคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าลง แล้วปล่อยให้ลูกเล่นได้เต็มที่"... ตราบเท่าที่กิจกรรมนั้น ๆ ไม่อันตรายต่อชีวิต หรือเสี่ยงต่ออุบัติเหตุรุนแรงน่าจะดีกว่า
เพราะการที่เราคอยพูดว่า "อย่า" "หยุด" "ไม่" หรือ "ห้าม" นั้นเหมือนกับการสะท้อนทัศนคติที่มีความกลัวของพ่อแม่ไปยังลูก อาจส่งผลให้ลูกกลายเป็นคนขี้กลัว ขาดความมั่นใจในตัวเองได้เลยทีเดียว และที่สำคัญคือ เมื่อไม่มีความพร้อมด้านอารมณ์ ย่อมส่งผลต่อความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงพัฒนาการด้านร่างกายด้วยเข่นกัน
คุณพ่อคุณแม่ลองคิดกันง่าย ๆ ก็ได้ครับว่า ยอมแลกความเหนื่อยในการที่จะต้องเก็บกวาด การมีบาดแผลขีดข่วนตามแขนขาบ้าง กับการเรียนรู้และมีพัฒนาการด้านต่าง ๆ ได้เต็มที่ ซึ่งผมว่ามันก็คุ้มอยู่นะ หรือจะท่องไว้ให้ขึ้นใจว่า “เด็กซนถึงจะฉลาด” ก็ได้ครับ