การเติบโตในยุคดิจิทัล
ในปัจจุบัน “หน้าจอ” เข้ามามีบทบาทในชีวิตมาก และแทรกซึมเข้าสู่ทุกครอบครัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
▶︎ 1. “เด็กต้องทำการบ้าน เพราะเขายังไม่เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นจึงมาฝึกด้วยการบ้าน” ถ้าเขาทำผิดก็แค่สอนเขาในสิ่งที่ถูก ผู้ใหญ่ต้องใจเย็นให้มาก ๆ อย่าเปรียบเทียบลูกกับลูกบ้านอื่น เด็กบางคนอาจจะเข้าใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เรียน ในขณะที่เด็กบางคนอาจจะเข้าใจหลังจากการทำซ้ำ ๆ หลาย ๆ รอบ ผู้ใหญ่ควรให้โอกาส และอย่าเพิ่งตัดสินเขา สิ่งที่ต้องตระหนักอยู่เสมอ คือ "เด็กทุกคนเรียนรู้ได้ แต่จะเรียนรู้ได้เมื่อไหร่ และด้วยวิธีไหน เท่านั้นเอง"
▶︎ 2. “การบ้านมีไว้เพื่อฝึกวินัย ความรับผิดชอบ และการควบคุมตนเอง” แค่เด็กยอมมานั่งทำการบ้านของเขา ควบคุมตนเองให้ทำการบ้านให้เสร็จก่อนไปเล่น (อดเปรี้ยวไว้กินหวาน) เพียงเท่านี้จุดประสงค์ข้อนี้ก็ประสบความสำเร็จไปแล้ว แต่ผู้ใหญ่อาจจะลืมไป เพราะเรามัวแต่มองผลลัพธ์หรือความถูกต้องเป็นสำคัญ "กระบวนการหาผลลัพธ์ จึงควรสำคัญกว่าผลลัพธ์ที่ได้มา”
▶︎ การบ้านที่มีเนื้อหายากเกินวัยของเด็ก หรือยากเกินความสามารถของเขา
● กรณีที่ 1 เด็กไม่เข้าใจบทเรียนนั้น แต่ยังสามารถเรียนรู้ได้อยู่ เด็กอาจรู้สึกท้อได้ เพราะไม่สามารถทำการบ้านด้วยตนเองเนื่องจากไม่เข้าใจบทเรียน ดังนั้นเราสามารถช่วยเหลือเขาได้ โดยทำให้เขาดู แล้วตั้งโจทย์เพิ่มให้เขาลองด้วยตนเองหลังจากดูเราทำ
● กรณีที่ 2 การบ้านนั้นยากเกินวัยของเด็กไปมาก แต่ถ้าการบ้านนั้นยากเกินไปมาก ๆ (ไม่เหมาะกับวัยของเด็ก) และคุณแม่คุณพ่อช่วยเหลือไม่ได้ ถามลูกว่า "เราไปคุยกับคุณครูด้วยกันไหม?" หรือ "อยากปรึกษาเพื่อน ครอบครัวอื่นไหม ว่าเขาทำอย่างไร ?”
ในกรณีนี้ สุดท้ายหากเด็กไม่เข้าใจ พ่อแม่และผู้ใหญ่ไม่ควรกดดันหรือบีบบังคับให้เขาต้องพยายามต่อ เพราะเรากำลังคาดหวังเด็กเกินวัยของเขา การที่เขาทำไม่ได้ เขาไม่ได้ผิดปกติแต่อย่างใด และสิ่งที่เราทำได้ คือ “การพูดคุยกับทางครูผู้สอน” เมื่อคุณครูเข้าใจและปรับลดเนื้อหาลงให้เหมาะสมกับวัย ปัญหาในส่วนนี้จะหายไป แต่ถ้าคุณครูไม่สามารถปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับวัยของลูกได้ พ่อแม่และผู้ใหญ่ควรปล่อยวาง และให้ลูกได้ฝึกฝนเนื้อหาตามวัยของเขา
● กรณีที่ 3 เด็กไม่สามารถทำงานได้ด้วยตัวเอง เนื่องจากการควบคุม (Self control) ท่ีมีไม่มากพอ ในกรณีนี้ผู้ใหญ่จำเป็นต้องลงไปให้ความช่วยเหลือ
วิธีการที่ง่ายที่สุด คือ “การย่อยงาน (Task analysis)” นำงานที่ “ยาก” และ “เยอะ” มาแบ่งให้เป็นงานย่อย ๆ เพื่อให้เด็ก ๆ ใช้เวลาจดจ่อสั้นลง และประสบความ สำเร็จบ่อยขึ้น
ยกตัวอย่าง
การบ้านต้องอ่านหนังสือ 1 บทซึ่งมีจำนวน 10 หน้า ผู้ใหญ่สามารถแบ่ง 1 บทนั้นให้เป็นสามช่วง ซึ่งแต่ละช่วงที่เด็ก ๆ ทำได้ เขาจะรู้สึกถึง “ความสำเร็จ” และ “ความเป็นไปได้” ระหว่างที่เด็ก ๆ อ่าน ผู้ใหญ่อาจจะอ่านไปกับเขาด้วย เพื่อทำความเข้าใจเนื้อหากับลูก
▶︎ การบ้านที่อาจจะเหมาะสมกับวัย แต่มีปริมาณที่เยอะเกินไป
Harris Cooper (2015) ศาสตราจารย์ทางด้านจิตวิทยาและประสาทวิทยาของมหาวิทยาลัยดุกซ์ แนะนำว่า “เวลาโดยเฉลี่ยที่เหมาะสมกับการให้เด็กวัยเรียน (6 ปี) ได้ฝึกฝนเนื้อหาที่เรียนไปในแต่ละวันเริ่มต้นที่ 10 นาที ซึ่งในชั้นเรียนถัดไปจะเพิ่มชั้นละ 10 นาที ไปเรื่อย ๆ" ดังนั้นในเด็กประถม 1 ควรใช้เวลาทำการบ้านเฉลี่ยไม่เกิน 10 นาทีต่อวัน
ส่วนในเด็กก่อนวัยเรียน หรือเทียบเท่ากับเด็กอนุบาล ด้วยเหตุนี้ปริมาณงานที่มากเกินไปนี้ อาจจะไม่สอดคล้องกับธรรมชาติของพัฒนาการตามวัยของเด็ก ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความเครียดทั้งตัวเองเด็กและคุณพ่อคุณแม่ ผู้ใหญ่จึงควรช่วยกันดูแลปริมาณให้เหมาะสม
งานที่เหมาะสมกับวัย สำหรับเด็กปฐมวัย 0-6 ปี “การบ้าน” ที่สำคัญที่สุด คือ “การเล่น” และ “การช่วยเหลือตัวเอง” สำหรับเด็กวัยอื่นให้พิจารณาจาก...
..."ไม่เป็นไรเลยที่หยุดพัก และเริ่มใหม่เมื่อพร้อม"...
อ้างอิง
Cooper, H The Battle Over Homework: Common Ground for Administrators, Teachers, and Parents New York, Carrel Books, 2015