208
มองหน้ากันแล้วค่อยมองหน้าจอ

มองหน้ากันแล้วค่อยมองหน้าจอ

โพสต์เมื่อวันที่ : June 8, 2020

ในยุคที่หน้าจอมือถือมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของผู้คนมากอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะหากเรารู้จักใช้ให้ถูกวิธี มือถือนั้นก็เปรียบเสมือนเครื่องช่วยให้ชีวิตคุณพ่อคุณแม่ง่ายขึ้นได้เป็นกองเลยทีเดียว แต่ถ้าใช้ไปหลงไปจนถึงขั้นขาดกันไม่ได้ ก็ไม่แคล้วจะกลายเป็นสิ่งเสพติดที่มีสิทธิ์ทำให้ชีวิตครอบครัวพังได้เลยเช่นกัน

 

ในแง่ของการเลี้ยงลูก สื่อต่าง ๆ มักนำเสนอเรื่องราวของมือถือในภาพลักษณ์ของวายร้ายสุดอันตราย ที่คอยจ้องทำลายสายตาและสติปัญญาของเด็ก ซึ่งถ้ามองกันด้วยสายตาที่เป็นกลาง คำพูดทำนองนี้ก็คงจะไม่ต่างอะไรกับการที่ลูกวิ่งชนโต๊ะ แล้วคุณพ่อคุณแม่ก็ไปตีโต๊ะ บอกว่าโต๊ะตัวนั้นผิดที่มาตั้งขวางหูขวางตาสักเท่าไหร่นะครับ ก่อนอื่นต้องขอแชร์ตามตรงว่า ครอบครัวผมเริ่มให้ลูกดู Taplet ตั้งแต่อายุได้ 2 ขวบครับ แต่เรามีหลักและกฎในการใช้ให้กับลูกด้วย ไม่ใช่ปล่อยดูกันไปแบบเลยตามเลย เริ่มที่...

❐ “เลือก” ผมกับแม่เคทจะเป็นคนเลือกคอนเทนท์ที่จะให้ลูกได้ดูด้วยตัวเอง และต้องมั่นใจ 100% ว่ารายการที่เลือกนั้นปลอดภัย ได้ประโยชน์คุ้มค่ากับการที่ให้ลูกดูหน้าจอจริง ๆ

 

❐ “ล็อค” พ่อแม่ต้องเป็นคนกำหนดเวลาในการดูหน้าจอ โดยเริ่มจาก 15 นาที แล้วเพิ่มขึ้นตามอายุลูกที่โตขึ้นตามวัย ซึ่งปัจจุบันลูกผมอายุ 4 ขวบ จะได้ดูหน้าจอวันละไม่เกิน 1 ชั่วโมง อย่างมากสุด ๆ ในสถาณการณ์ที่จำเป็นจริง ๆ จะยอมให้ดูได้มากสุดที่ 2 ชั่วโมง ยกตัวอย่างเช่น ทั้งพ่อทั้งแม่ต้องประชุมงานกับลูกค้าพร้อม ๆ กัน เป็นต้น

 

❐ “เลิก” ลูกต้องตกลงว่าจะปิดหน้าจอด้วยตัวเอง เมื่อถึงเวลาที่กำหนด ซึ่งการที่ให้ลูกปิดเองจะช่วยหลีกเลี่ยงการเกิดดราม่า ร้องไห้งอแงได้ และเมื่อลูกปิดเองแล้ว คุณพ่อคุณแม่ต้องรีบชมทันทีนะครับ

 

❐ “ละ” ควรจะทำให้การดูหน้าจอไม่ใช่กิจวัตรที่ต้องทำเป็นประจำทุกวัน เพื่อที่จะไม่เสพติดหน้าจอ อาจจะกำหนดให้การดูหน้าจอนี้เป็นรางวัลพิเศษ สัปดาห์ละครั้งหรือสองครั้งเท่านั้นก็ได้ครับ

ด้วยการใช้หลักทั้ง 4 ข้อ ทุกวันนี้ลูกชายไม่เป็นเด็กติดหน้าจอ ไม่มีอาการเสพติดจนต้องขอดูกันบ่อย ๆ หรือหากขอดูแต่ ได้รับการปฏิเสธ ก็จะไม่มีอาการโวยวาย หรือดราม่าบังเกิดแต่อย่างใด ในทางตรงข้าม กลับได้ประโยชน์จากการดูการ์ตูนภาษาอังกฤษอีกด้วย คือ สำเนียงการพูดภาษาอังกฤษที่ค่อนข้างดี และสามารถเข้าใจในบทสนทนาพื้นฐาน โดยที่ยังไม่ได้เข้าโรงเรียนหรือลงคอร์สเรียนภาษาเพิ่มเติมใด ๆ

 

แต่สิ่งสำคัญที่ลืมไม่ได้ก็คือ เราควบคุมการดูหน้าจอของลูกแล้ว อย่าลืมควบคุมการใช้มือถือหรือแทปเลตของตัวเองด้วยนะครับ เพราะลูก ๆ ย่อมดูคุณพ่อคุณแม่เป็นแบบอย่างเสมอ และพึงระลึกไว้เสมอว่า เวลาคุณภาพของครอบครัวนั้น เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวลูกกับพ่อแม่จริง ๆ ไม่ใช่โปรแกรมหรือตัวการ์ตูนบนมือถือ คุณพ่อคุณแม่จึงควรเน้นกิจกรรมที่มีการถามไถ่พูดคุย มีอารมณ์ร่วมในการมองหน้ามองตากันให้มากกว่าการพึ่งพาหน้าจอดิจิตอลนะครับ