859
“ไม้เรียวสร้างคน” จริงไหม ? หรือพ่อแม่กำลังสร้างบาดแผลที่มองไม่เห็นให้ลูก

“ไม้เรียวสร้างคน” จริงไหม ? หรือพ่อแม่กำลังสร้างบาดแผลที่มองไม่เห็นให้ลูก

โพสต์เมื่อวันที่ : March 27, 2025

 

การตีอาจหยุดพฤติกรรมได้ชั่วคราว แต่ทิ้งบาดแผลในใจเด็กไปตลอดชีวิต โดยไม่รู้ตัว…

 

“ไม้เรียวสร้างคน”

“รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี”

“ที่ได้ดีแบบทุกวันนี้ก็เพราะไม้เรียวนี่แหละ”

 

ประโยคชินหูที่หลายคนคงเคยได้ยิน และหลายคน “เชื่อ” อย่างนั้นจริง ๆ ว่าการเลี้ยงลูกให้ได้ดี คือการเลี้ยงลูกให้อยู่ในโอวาท ด้วยคำสั่ง ด้วยการตี และด้วยความรุนแรง โดยเฉพาะเมื่อเด็กทำพฤติกรรมที่ไม่ดี เด็กต้องได้รับการลงโทษด้วยการตี เพื่อให้เกิด “ความหลาบจำ” — ต้องเจ็บที่เนื้อ จึงจะจดจำที่สมอง และไม่ทำผิดแบบเดิม ๆ อีก

 

หลายคนถูกเลี้ยงด้วยหลักการนี้ และเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ มีอาชีพการงานที่ดี เลี้ยงตัวเองได้ และสร้างครอบครัวใหม่ของตนเอง พวกเขาเหล่านี้ หลายคนก็ส่งต่อชุดความคิด ระเบียบแบบแผนในการเลี้ยงลูกแบบที่ตัวเองเติบโตมาผ่านต่อไปยังรุ่นลูกและรุ่นหลานต่อไป

 

“อย่าชมมาก เดี๋ยวเหลิง”

“ทำผิดต้องตีถึงจะหลาบจำ”

 

จริง ๆ แล้วมันเป็นแบบนั้นจริงหรือไม่ ? เราได้ดีจากไม้เรียวจริงหรือ ?

คำตอบจากการศึกษาวิจัยเชิงจิตวิทยา การแพทย์ และสังคมพบว่า “ไม่จริง” มนุษย์ใช้วิธีผูกมัด กักขัง เฆี่ยนตี เพื่อควบคุมสัตว์ให้ "เชื่อง" ทำตามคำสั่ง เอาไปใช้งานได้ — และมนุษย์ก็ใช้วิธีเดียวกันนี้กับมนุษย์ด้วยกันเอง เพื่อควบคุมให้ "เชื่อ(ฟั)ง"

 

แต่หารู้ไม่ว่า วิธีการเหล่านี้ อาจสร้างบาดแผลระยะยาวให้กับเด็ก คนหนึ่งที่จะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ไปตลอดกาล และอาจส่งผลต่อ ทัศนคติ การตัดสินใจ การใช้ชีวิต ความนับถือตัวเอง รวมถึงเพิ่มโอกาสการเกิด โรคทางอารมณ์และจิตใจ อีกมากมาย

 

 

● ข่าวที่เกี่ยวข้อง : มีผลแล้ว ราชกิจจาฯ ประกาศกฎหมายแก้ไขใหม่ "ทำโทษบุตร"

 

 

“การตี” “การด่า” “การประจาน”

อาจหยุดพฤติกรรมที่ไม่ดีได้ใน ระยะสั้น แต่ ไม่มีประสิทธิภาพในระยะยาว และการทำโทษด้วยความรุนแรง โดยเฉพาะการด่าหรือตะคอกกับเด็ก ก่อนอายุ 13 ปี จะเพิ่มโอกาสที่ลูกจะเป็นโรคซึมเศร้า หรือกลายเป็นเด็กที่มี พฤติกรรมก้าวร้าว (Conduct Problems) ในอนาคตได้

 

การศึกษาล่าสุดจากประเทศแคนาดา ที่ตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ BMJ ได้รวบรวมข้อมูลจากเด็กวัยรุ่นกว่า 400,000 คน จาก 88 ประเทศทั่วโลก ซึ่งประกอบด้วยประเทศหรือเขตการปกครองที่มีกฎหมาย “ห้ามการทำโทษด้วยกำลัง” (Bans on corporal punishment) เช่น นิวซีแลนด์ ไอซ์แลนด์ โปรตุเกส และประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย รวมถึงประเทศที่ ไม่มี กฎหมายห้ามดังกล่าว

 

ผลการศึกษาพบว่า ประเทศที่ ห้ามการลงโทษด้วยการตีเด็กอย่างเข้มงวด เป็นสังคมที่ ปลอดภัยต่อการเติบโตของเด็กมากกว่า และมีอุบัติการณ์ความรุนแรงในวัยรุ่นน้อยกว่าอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในประเทศที่มีกฎหมายห้ามการตีเด็ก พบว่า

  • ปัญหาความรุนแรง การทะเลาะเบาะแว้งของวัยรุ่นชาย ต่ำกว่าประเทศที่ไม่มีการห้ามถึง 31%
  • วัยรุ่นหญิง มีพฤติกรรมรุนแรงลดลงถึง 58%

 

นั่นหมายความว่า ประเทศที่ ไม่ใช้การตีเป็นเครื่องมือในการลงโทษเด็ก มีแนวโน้มพบปัญหาความรุนแรงในกลุ่มวัยรุ่นน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ

นักวิจัยสรุปว่า การห้ามทำโทษด้วยการตี เปลี่ยนวิธีคิดของพ่อแม่ในการปรับพฤติกรรมลูก และยัง ส่งผลต่อภาพรวมของสังคม ให้มีความรุนแรงลดลง ซึ่งอาจนำไปสู่การที่เด็ก ๆ เติบโตขึ้นมาโดยไม่ใช้ความรุนแรงเป็นทางออกในชีวิต

 

ผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อยยังคงเลือกใช้ “การตี” เป็นทางเลือกแรก ๆ ในการปรับพฤติกรรมของเด็ก เพราะมองว่าเป็นวิธีที่ง่าย และได้ผลทันที เช่น

  • ยกมือขึ้นตี
  • หยิบไม้เรียวขึ้นหวด
  • หรือถอดเข็มขัดฟาด

 

แต่ในมุมของ “ผู้ถูกกระทำ” เด็กอาจ จดจำได้เพียงความรุนแรง และอารมณ์โกรธของพ่อแม่ เด็กบางคนเลือกที่จะ ถอยหนี (Flight) เพราะกลัวถูกทำโทษ ขณะที่เด็กบางคนเลือกที่จะ สู้กลับ (Fight) ด้วยความก้าวร้าว เช่น การตีพ่อตีแม่ตอบ

 

ไม่ว่าเด็กจะตอบสนองแบบไหน สิ่งหนึ่งที่การตี “ไม่ได้สอน” คือ...

  • ทำไมสิ่งที่เขาทำจึงไม่เหมาะสม
  • และเขาควรควบคุมตัวเองอย่างไรในครั้งหน้า

 

 

การตีจึงอาจไม่ใช่คำตอบในการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมในระยะยาว

 

ในขณะเดียวกัน หลายคนยังมีคำถามในใจว่า “ก็ที่เขาได้ดีอย่างทุกวันนี้ ก็เพราะไม้เรียวเป็นเครื่องมือในการสั่งสอนให้เป็นคนดี แล้วทำไมเขาถึงจะใช้วิธีนี้สั่งสอนรุ่นลูกหรือหลานไม่ได้ ?” แน่นอนว่า มีคนที่ได้ดีจากไม้เรียว

 

แต่คำถามที่น่าถามกว่านั้นคือ... “มีคนที่ได้ดีจากไม้เรียวจริง ๆ กี่คน... จากกี่คน ?” หากลองเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างกลุ่ม "นักธุรกิจ" กับ "นักโทษในเรือนจำ" ใครถูกเลี้ยงดูด้วยความรุนแรงมากกว่ากัน ?

 

แม้จะมีปัจจัยอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย ทั้งเศรษฐานะ สภาพแวดล้อม และโอกาสในชีวิต แต่ก็น่าจะพอทำให้เรามองเห็น "ภาพใหญ่" ได้ชัดเจนขึ้น

 

เรามาช่วยกันสร้างสังคมที่ปลอดจากความรุนแรง โดยเริ่มจากหน่วยที่เล็กที่สุดของสังคม นั่นคือ “ครอบครัว” จุดเริ่มต้นเล็ก ๆ จากบ้านของแต่ละคน จะค่อย ๆ ขับเคลื่อนสังคมไปสู่การเปลี่ยนแปลง

 

 

แม้ว่าการผลักดันกฎหมายเพื่อคุ้มครองเด็กจากการถูกลงโทษด้วยความรุนแรงในประเทศไทย ยังเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย และต้องใช้เวลา แต่ถ้าเราทุกคนเริ่มลงมือจากบ้านของตัวเอง วันหนึ่งเราจะเห็นสังคมที่อบอุ่น ปลอดภัย และเคารพในคุณค่าของมนุษย์ทุกคน... โดยไม่ต้องใช้ไม้เรียวอีกต่อไป



ติดตามข่าวสารและกิจกรรม Thai PBS Kids ได้ทาง Website | Facebook | Youtube | LINE Official

 

ที่มา : อ่านงานวิจัยเพิ่มเติม