ข่าวประชาสัมพันธ์ : คิดคลับส์ ชวนเที่ยว Astro Night Family Camp
ชวนคู่พ่อลูก อายุ 6 - 12 ปี มาร่วมสร้างช่วงเวลาแห่งความประทับใจกับกิจกรรม Astro Night Family Camp
วันนั้นเราต่างตื่นเต้นที่ได้ยินเจ้าตัวน้อยพูดคำแรก เราต่างดีใจที่ลูกสามารถบอกสิ่งที่ตัวเองต้องการได้ แล้วเรื่องราวก็ดำเนินมาจนถึงวันนี้ วันที่คำพูดทั้งหลายกลายเป็นการถกเถียง ต่อรอง และแลดูจะเรื่องเยอะในสายตาของพ่อแม่ หากถามคำถามว่า “ทำไมลูกถึงเถียงพ่อแม่“
คำตอบตามหลักของพัฒนาการก็คือ ”เพราะเขาทำได้ เขาจึงทำ“ และ ”เพราะเขาเป็นเด็กที่ฉลาดไม่น้อย เขาจึงเรียนรู้ที่จะเรียกร้องต่อรองและปฏิเสธคุณพ่อคุณแม่ได้อย่างลื่นไหล“ นี่คือ พัฒนาการปกติของเด็กทุกคน มากบ้าง น้อยบ้าง แต่ทุกคนย่อมถกเถียงพ่อแม่ และสามารถเกิดได้ทุกช่วงอายุ มิใช่ลูกเป็นเด็กมีปัญหา
การเถียงและต่อรองอาจกระตุ้นทำให้พ่อแม่รู้สึกโกรธ และตอบสนองการถกเถียงของลูกด้วยอารมณ์ หลายครั้งอาจลงเอยด้วยความรุนแรงทางวาจา และ/หรือทางร่างกาย เพื่อหยุดไม่ให้ลูกเถียง จนนำไปสู่ปัญหาในความสัมพันธ์ได้ หากใช้ ‘อำนาจภายนอก’ อย่างการตี การดุด่า หรือการลงโทษที่รุนแรงเพื่อหยุดการเถียง เด็กอาจเริ่มเก็บกด ไม่พูด ไม่แสดงความเห็นของเขาออกมา
ในขณะเดียวกันหากเรายินยอมให้ลูกเถียงได้อย่างไร้ขอบเขต และได้มาในสิ่งที่เขาต้องการอย่างไม่สมเหตุสมผล ลูกจะดื้อและถกเถียงพ่อแม่มากขึ้น เพราะเถียงแล้วได้ เถียงแล้วไม่เกิดผลใด ๆ กับตนเองแม้ว่าการกระทำนั้นจะรุนแรงและทำตามอารมณ์อย่างไร้เหตุผลก็ตาม
"ข้อตกลง" ต้องเป็นข้อตกลงที่ศักดิ์สิทธิ์ เมื่อขอเล่นก่อนอาบน้ำอีก 10 นาที ถึงเวลาก็ควรไปอาบน้ำ เมื่อลูกดูหน้าจอหรือเล่นเกมครบตามเวลาที่้ตกลงกันไว้แล้วก็ต้องเป็นไปตามนั้น ชัดเจน หนักแน่น เด็ดขาด แต่ไม่ใช้ความรุนแรง ขีดเส้นให้ชัดเจนว่า อย่างไรพ่อแม่ก็ไม่ยอมหากเป็นเรื่องที่ควรทำและตกลงกันไว้แล้ว ไม่ยอมก็แค่ปิด ดึงปลั๊ก ไม่ต้องพูดให้มากความ ไม่ต้องใช้อารมณ์จากฝั่งพ่อแม่ และเมื่อลูกโกรธ เสียใจ ร้องไห้ ก็สามารถแสดงอารมณ์ออกมาได้อย่างเหมาะสม โดยมีพ่อแม่เป็นผู้ที่อยู่เคียงข้าง รับรู้อารมณ์ของลูกและสอนให้เขาจัดการกับอารมณ์ได้เหมาะสม
“เสียใจร้องไห้ได้นะลูก”
“โกรธได้ พ่อเข้าใจหนูว่าหนูอยากเล่นต่อ”
แต่ทุกอย่างมีความชัดเจนของมันอยู่ ขีดเส้นให้ชัด คุณพ่อคุณแม่สามารถให้ทางเลือกกับลูกได้ เพื่อหยิบยื่นโอกาสให้ลูกได้รู้สึกว่า เขามีทางเลือก และไม่ได้ถูกบังคับให้ทำตามพ่อแม่เท่านั้น เพราะเมื่อเกิดเหตุที่ลูกได้ยินคำบอกจากพ่อแม่ว่าอย่างนั้นดี อย่างนี้ไม่ดี มีกฎให้ทำตาม ต้องทำการบ้าน ต้องอาบน้ำแปรงฟัน ต้องหยุดเล่น
เด็กที่คิดเองได้ มีสมองไตร่ตรองสิ่งที่เกิดขึ้น เด็กจะเกิด ‘คำถาม’ เกิดขึ้นกับกฎ ระเบียบ วินัย หรือกระทั่งวัฒนธรรมประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาว่า ก็แล้วมันยังไง ปรับเปลี่ยนได้ไหม ต่อรองได้ไหม ไม่ทำตามได้ไหมล่ะ นี่คือ สัญญาณว่าเด็กได้ใช้สมองและความฉลาดของเขาตั้งคำถามและกล้าพอที่จะพูดและต่อรองออกมา
คุณพ่อคุณแม่ต้องการเด็กที่ไม่หือไม่อือ ไม่สงสัยอะไรเลยในชีวิต หรือสงสัยแล้วไม่กล้าพอที่จะพูดหรือต่อรองอะไรออกมาเลยหรือเปล่าครับ ?
การทำตามคำสั่งโดยไม่มีข้อสงสัย ดีจริงหรือ หรือเราก็แค่อยากได้คนที่หัวอ่อนทำตามสั่ง มีคุณสมบัติของคอมพิวเตอร์โบราณ ๆ ที่ทำตามคำสั่งเท่านั้น ไม่หือไม่อือ เดินต้อย ๆ ตามคำที่พ่อแม่บอก ผู้ใหญ่สอน คิดนอกกรอบไม่เป็น ก็คงไม่ใช่ใช่ไหมครับ
การต่อรองนั้นว่าเป็นเรื่องที่ดีในด้านหนึ่ง ไม่ใช่มองแต่ว่า ลูกดื้อไม่เชื่อฟังพ่อแม่เพียงอย่างเดียว เมื่อเข้าใจแล้วก็ต้องบริหารจัดการความเยอะนั้นให้สมเหตุผลในแต่ละเรื่องให้ได้ การต่อรองที่ดีควรทำอย่างไร พูดจากันด้วยเหตุผล ต่อรองด้วยถ้อยคำที่ดี ไม่ก้าวร้าว เพื่อสอนให้เป็น ‘นักเจรจา’ ที่ดีในอนาคต
ในขณะเดียวกัน บางเรื่องไม่ทำก็ไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องวินัย กิจวัตรและความรับผิดชอบหลายอย่าง เช่น อาบน้ำ แปรงฟัน (ไม่ทำได้ไหมนะ ?) การดูหน้าจอ การบ้าน และอื่น ๆ แล้วแต่จะพิจารณาตามความเหมาะสม แต่สิ่งที่ทำไม่ได้และไม่ให้ทำแน่ ๆ ก็คือ ความรุนแรง ทำร้ายคนอื่นตัวเองสิ่งของ อันนี้ไม่ได้ ยื่นคำขาด ไม่ให้ทำ มีมาตรการรองรับให้ชัดว่าทำแล้วพ่อแม่จะจัดการอย่างไร
..."การเชื่อฟัง 100% มิใช่สัญญาณที่ดีนัก แต่เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ ตั้งคำถามในสิ่งที่สังสัย และกล้าต่อรองในเรื่องที่เขาเห็นว่ามันถูกต้อง มันน่าจะดีในระยะยาวของชีวิตลูก จริงไหมครับ สิ่งเหล่านี้เริ่มที่บ้าน"...