เชื่อมโยงสายใยผ่านเรื่องเล่า
มีหนังสือมากมายที่แม่ ๆ สามารถอ่านร่วมกับลูก ๆ เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันใกล้ชิด
จนตอนนี้...เด็กน้อยคนนั้น เติบโตมาเป็นสาวน้อยที่รักและเมตตาสัตว์ รักธรรมชาติ หมอรู้ดีว่า "ไม่ใช่เรื่องที่ติดตัวมา" แต่เป็นสิ่งที่เราปลูกฝังให้กับเค้าตั้งแต่เด็ก พ่อแม่หลายคนสงสัยว่า “จะเลี้ยงลูกอย่างไรให้เขารักธรรมชาติ ?” โดยเฉพาะในยุคที่การใช้ชีวิตส่วนใหญ่ถูกครอบงำด้วยเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์ เด็ก ๆ มักจะอยู่ในโลกดิจิทัลมากกว่าจะออกไปวิ่งเล่นในสวน
ก่อนที่จะ “รู้สึกรักและหวงแหน” จะต้องสร้างความผูกพันให้เกิดขึ้นในใจเด็ก ๆ เสียก่อน ธรรมชาติรอบตัวก็เช่นกัน หากอยากให้เด็ก ๆ เป็นคนที่รักธรรมชาติ เป็นคนที่ใส่ใจเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
"พ่อแม่" คือ คนสำคัญที่จะปลูกฝังความรู้สึกเหล่านี้ให้กับลูก เราไม่จำเป็นต้องพาลูกไปสำรวจป่า เพียงแค่ต้นไม้ใบหญ้ารอบบ้าน หรือการพาไปสวนสาธารณะในเช้าวันหยุดเท่าที่เราจะทำได้ ก็ช่วยให้เด็ก ๆ ได้ใกล้ชิดธรรมชาติ การให้ลูกได้สัมผัสกับธรรมชาติแบบนี้จะช่วยปลูกฝังให้เขารักธรรมชาติมากขึ้นค่ะ
ทำไมจิตใจรักธรรมชาติถึงสำคัญ ?
การที่ลูกของเรามีจิตใจรักธรรมชาติ ไม่ใช่แค่เรื่องของความสนุกสนานหรือการเล่นกลางแจ้งเท่านั้น แต่มันเป็นพื้นฐานที่สำคัญของการพัฒนาทางด้านอารมณ์และสังคม
งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ที่ พบว่า การสัมผัสกับธรรมชาติตั้งแต่เล็ก ๆ ช่วยสร้างจิตใจที่รักและใส่ใจสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ทำให้เด็กมีแนวโน้มที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ใส่ใจโลกและปกป้องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
นอกจากนี้ยังพบว่าธรรมชาติสามารถช่วยลดความเครียดและส่งเสริมสมาธิได้เป็นอย่างดี การศึกษาของมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ระบุว่า การอยู่ท่ามกลางธรรมชาติช่วยลดอาการสมาธิสั้น (ADHD) ในเด็กได้ถึง 20% ทำให้เด็กสามารถโฟกัสและเรียนรู้ได้ดีขึ้น
เราจะทำอย่างไรให้ลูกมีจิตใจรักธรรมชาติ ? สามารถเริ่มต้นจากสิ่งง่าย ๆ ในชีวิตประจำวันนี่เองค่ะ
1. พาลูกออกไปสัมผัสธรรมชาติ
การสร้างจิตใจรักธรรมชาติเริ่มต้นจากการให้เด็กได้มีโอกาสอยู่กับธรรมชาติจริง ๆ อาจจะเป็นการพาลูกไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ พาไปดูนก หรือให้เขาเล่นกับดินทราย เมื่อเด็กได้สัมผัสกับธรรมชาติบ่อย ๆ พวกเขาจะเริ่มเข้าใจและรู้สึกถึงความเชื่อมโยงกับธรรมชาติอย่างเป็นธรรมชาติ
การศึกษาจากมหาวิทยาลัยเยล พบว่า เด็กที่ได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างสม่ำเสมอจะมีความผูกพันกับธรรมชาติมากขึ้น และมีแนวโน้มที่จะพัฒนาความรักและความห่วงใยต่อสิ่งแวดล้อมเมื่อโตขึ้น
2. สร้างโอกาสให้ลูกได้สำรวจ
ธรรมชาติเป็นพื้นที่การเรียนรู้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด ปล่อยให้ลูกได้สำรวจสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นแมลง ดอกไม้ หรือก้อนหิน ทำให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรง การที่เด็กได้ใช้เวลาในการสำรวจธรรมชาติช่วยเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์และทักษะการแก้ปัญหา
ดร. ลูอิส สเตอร์น (Lewis Stern) นักจิตวิทยาด้านพัฒนาการ กล่าวว่า “การสำรวจธรรมชาติช่วยให้เด็กเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในอนาคต”
3. สร้างพื้นที่สีเขียวในบ้าน
ถ้าพ่อแม่ไม่มีโอกาสพาลูกไปเล่นในธรรมชาตินอกบ้านบ่อย ๆ เราสามารถสร้างพื้นที่สีเขียวเล็ก ๆ ในบ้านได้ เช่น การปลูกต้นไม้ในกระถาง การทำสวนหลังบ้าน หรือแม้แต่การดูแลสัตว์เลี้ยง ก็เป็นการเชื่อมโยงกับธรรมชาติได้เช่นกัน
มีการวิจัยจากประเทศญี่ปุ่น พบว่า การปลูกต้นไม้ในบ้านหรือในที่ทำงานสามารถช่วยลดระดับความเครียดและเพิ่มความรู้สึกสงบในจิตใจได้ ซึ่งสิ่งนี้ก็ส่งผลดีต่อพัฒนาการทางอารมณ์ของเด็กเช่นกัน
4. สอนให้ลูกรู้จักดูแลธรรมชาติ
เมื่อเด็ก ๆ เริ่มมีความรู้สึกใกล้ชิดกับธรรมชาติแล้ว พ่อแม่ควรสอนให้เขาเข้าใจถึงความสำคัญของการดูแลรักษาธรรมชาติ เช่น การทิ้งขยะให้ถูกที่ การใช้น้ำและไฟฟ้าอย่างประหยัด หรือการปลูกต้นไม้ การให้เด็กได้มีส่วนร่วมในการดูแลธรรมชาติจะช่วยเสริมสร้างความรับผิดชอบและจิตสำนึกต่อสังคม
งานวิจัยของดร. แพทริเซีย โฮลดี (Patricia Holdy) จากมหาวิทยาลัยโคโลราโด ระบุว่า เด็กที่ได้รับการปลูกฝังเรื่องความรับผิดชอบต่อธรรมชาติตั้งแต่เล็ก ๆ จะมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเมื่อโตขึ้น
การเลี้ยงลูกให้มีจิตใจรักธรรมชาติอาจเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ ที่พ่อแม่ทำในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการพาลูกออกไปเล่นกลางแจ้ง การสร้างโอกาสให้เขาได้สำรวจธรรมชาติ หรือแม้แต่การปลูกต้นไม้ในบ้าน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการให้เด็กได้รู้สึกถึงความเชื่อมโยงกับธรรมชาติ และเข้าใจว่าธรรมชาติคือส่วนหนึ่งของชีวิตเรา นอกจากจะช่วยให้ลูกมีสุขภาพจิตและสมาธิที่ดีขึ้นแล้ว ยังช่วยสร้างจิตสำนึกในการรักษาโลกใบนี้ให้เป็นที่อยู่อาศัยที่ดีสำหรับคนรุ่นหลังต่อไป