การเติบโตในยุคดิจิทัล
ในปัจจุบัน “หน้าจอ” เข้ามามีบทบาทในชีวิตมาก และแทรกซึมเข้าสู่ทุกครอบครัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
..."เพราะยิ่งฟังมากขึ้น เราจะได้รับรู้เรื่องราวของลูกมากขึ้น"... หากเราไม่รับฟังเรื่อง “เล็ก ๆ” ของลูกตั้งแต่ตอนลูกเล็ก ๆ เราจะไม่มีวันได้ยินเรื่อง “ใหญ่ ๆ” จากปากเขาตอนเติบใหญ่ขึ้นเลย เพราทุกเรื่องเล็กนั้นใหญ่เสมอสำหรับลูก
นอกจากนั้นการเป็นผู้ฟังที่ดีของผู้ใหญ่ยังเอื้อให้ลูกสามารถเติบโตและมีพัฒนาการในด้านต่าง ๆ ที่ดีขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติตามวัยของเขาได้อีกด้วย
❤︎ เปิดโอกาสให้ลูกได้พูดและเจรจา ❤︎
ได้ฝึกการสื่อสาร การใช้ภาษา โดยเฉพาะเมื่อลูกต้องการในสิ่งที่ตัวเองอยากได้ การให้เด็กได้อธิบายและ ‘ขาย’ เรื่องราวของตัวเองให้เราฟังนั้นเป็นสิ่งที่พัฒนาการใช้ภาษาที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง และทักษะเหล่านี้มีความจำเป็นในอนาคตของลูกอย่างมาก เพราะไม่ว่าจะเป็นการสัมภาษณ์งาน ขายสิ่งของ หรือแม้กระทั่งการพูดในที่สาธารณะก็มีพื้นฐานมาจากการช่างพูด ช่างเจรจาตั้งแต่เด็กนั่นเอง คุณพ่อคุณแม่ควรกระตุ้นให้ลูกได้พูดอย่างสม่ำเสมอ
❤︎ สร้าง ‘พื้นที่ปลอดภัย’ ให้ลูกให้รู้กล้าที่จะพูดในสิ่งที่คิด ❤︎
สิ่งที่ตนเองเชื่อ และจินตนาการ ดังนั้นการเป็นผู้ฟังที่ดีนั้นต้องฟังแบบเปิดใจรับฟังจริง ๆ ฟังแบบไม่ตัดสิน ชี้ถูก ชี้ผิด หรือฟังเพื่อตั้งเป้าจะสั่งสอนเพียงอย่างเดียว พ่อแม่ต้องฝึกรับฟังเพื่อความเข้าใจเป็นสำคัญ เพราะเมื่อเข้าใจ เราจะสามารถเข้าถึงลูกได้ดีขึ้น ยามมีปัญหาอะไร ลูกจะกล้าพูดให้เราฟัง จากนั้นเราค่อยพูดคุยและปรับสิ่งที่เราคิดว่ายังไม่เหมาะสมอีกทีด้วยความละมุนละม่อมนั่นเอง
❤︎ สร้าง ‘ความมั่นใจในตนเอง’ และ ‘ตัวตน’ ของลูกได้ ❤︎
เพราะเมื่อลูกกล้าพูดในสิ่งที่ตนเองต้องการ หรือกล้า ‘เถียง’ พ่อแม่มากขึ้น เพราะเขารู้ว่าเราพร้อมที่จะรับฟังเขา ซึ่งตามหลักพัฒนาการแล้ว เด็กที่เถียง หรือปฏิเสธเป็น คือ เรื่องปกติ เพราะเด็กเกิดมาพร้อมกับการเติบโต และการพูดว่า "ไม่" คือ "ความสามารถ" ของเขา และคำว่า "ไม่" นี่เองที่สร้าง "ตัวตน" ของเขา เพราะเขาเรียนรู้ว่า "คำพูด" "การกระทำ" หรือกระทั่ง "เสียงร้อง" ของเขานั้นทำให้เขามี "พลังแห่งการต่อรอง" กับพ่อแม่ นี่คือ ขั้นตอนหนึ่งของการสร้าง ตัวตน (Sense of Self ) ของเขา เด็กต้องการความมั่นใจในตนเอง เด็กต้องการความรู้สึกว่าเขามี "อำนาจ" พอที่จะควบคุมสิ่งรอบข้างได้ เด็กจึงพูดคำว่า "ไม่" เด็กจึงเริ่ม "เถียง" และเริ่ม "ร้องไห้" เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ แค่นั้นเอง นี่คือเรื่องปกติ และต้องไม่ลืมว่าเด็กที่เถียงเก่ง คือ เด็กที่ 'กล้าพอ' ที่จะบอกความต้องการของตัวเองได้
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ทุกอย่างในโลกใบนี้ต้องหมุนตามลูกนะครับ เพราะถ้าเถียงแล้วได้ พูดว่า "ไม่" แล้วพ่อแม่ก็ยอมเสมอแบบไม่มีขอบเขต อยากกินอะไรก็กิน อยากินตอนไหนก็ได้ เรียกอาบน้ำ จะไม่อาบก็ไม่ต้องอาบ เล่นถึงกี่โมงก็ได้ อยากทำอะไรก็ทำ เพราะพ่อแม่บอกแล้วก็เถียงตลอด และพ่อแม่ก็ยอม เพราะลูกเถียงแล้วไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยตามเลย แบบนั้นเขาเรียกว่า การตามใจหรือ "สปอยล์" ครับ ยิ่งเลี้ยง ลูกจะยิ่งพฤติกรรมแย่ลงเรื่อย ๆ
สิ่งที่พ่อแม่ต้องทำนอกจากการรับฟัง ก็คือ สอนให้ลูกเถียงเป็น คุยกันด้วยเหตุผล มิใช่อารมณ์หรือความเกรี้ยวกราดรุนแรง ภายใต้เงื่อนไขและกฎของบ้าน เมื่อฟังขึ้นก็ค่อยประนีประนอมยอมตาม อย่าให้คำว่า "ไม่" หรือการเถียงของลูกผ่านไปแบบเปล่า ๆ ครับ ต้องสอนให้เขาเถียงเป็น พูดความต้องการของตัวเองเป็น และเจรจาเป็นด้วย หากพูดจาแย่ ๆ ใช้ภาษาแย่ ๆ หรือใส่อารมณ์ในการพูดคุยและเถียง ตะโกนใส่หรือร้องว๊าก ๆ ใส่ พ่อแม่ก็ต้องสอนให้ชัดเจนว่า "เราไม่พูดกันแบบนี้ และเราไม่พูดกับคนอื่นแบบนี้" สอนให้ลูกรู้จักเจรจาและเคารพผู้อื่นด้วยเสมอ
อย่าเจรจากับลูกด้วยการตี ความรุนแรง การตะโกน การบังคับขัดขืนใจ หรือเราพูดกับลูกดี ๆ ด้วยเหตุผล ด้วยเงื่อนไข ด้วยความอ่อนโยนใจเย็นแต่เด็ดขาด เพราะสุดท้ายแล้ว #ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น เสมอ อยากให้ลูกเถียง โต้แย้ง หรือบอกความต้องการของตัวเองได้ ต้องเริ่มจากพ่อแม่ เพราะ แบบอย่างที่ดีสำคัญที่สุดเสมอ ..."แค่ฟัง ลูกก็เติบโต"...
..."สิ่งที่พ่อแม่ต้องฝึกฝนก็คือ พูดให้น้อยลง ฟังให้มากขึ้น แค่นี้เอง"...