การเติบโตในยุคดิจิทัล
ในปัจจุบัน “หน้าจอ” เข้ามามีบทบาทในชีวิตมาก และแทรกซึมเข้าสู่ทุกครอบครัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
...“คนเรามีความสุขมากขึ้น แค่รู้ว่า...จะได้ออกเดินทางท่องเที่ยว”...
เรื่องนี้ได้รับการยืนยันจากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัย Surrey ประเทศอังกฤษเมื่อหลายปีก่อน ได้เปิดเผยว่า คนที่ไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยว หรือไม่ค่อยได้ออกเดินทางไปไหนมาไหน มีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจสูงกว่าคนที่เที่ยวบ่อย ๆ มากถึง 30 เปอร์เซ็นต์ !
ตรงกันข้ามกับคนที่ออกเดินทางท่องเที่ยวนั้น จะมีความสุขตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้รู้ว่าจะได้ออกไปท่องเที่ยว งานวิจัยชี้ชัดว่า เมื่อสมองคนเราได้รู้ว่าจะไปเที่ยว สมองจะมีการคาดการณ์และวางแผนล่วงหน้า ทำให้รู้สึกดีทุกครั้งเมื่อนึกถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
เช่นเดียวกับ American Psychological Association ได้ทำการสำรวจความเครียดของชาวอเมริกันในปี 2013 พบว่าการเที่ยวนั้นช่วยลดความเครียดและความรู้สึกแย่ ๆ ของคนเราได้จริง ซึ่งเป็นไปในแนวทางเดียวกับ ดร.เซบาสเตียน ฟิเลป (Associate Professor Sebastian Filep, PhD) ผู้เชี่ยวชาญด้านการเดินทางและภาวะที่เป็นสุข มหาวิทยาลัยวิกตอเรีย (Victoria University) ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเคยเปิดเผยว่า ความสุขจะเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่กระบวนการจองตั๋วเดินทาง จากนั้นคนจะจดจำถึงการเดินทางที่ผ่านมา ซึ่งจะทำให้อารมณ์เบิกบาน ที่มหัศจรรย์กว่านั้นคือ การท่องเที่ยวยังช่วยบำบัดผู้ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าได้เป็นอย่างดีอีกด้วย โดยเฉพาะมนุษย์พ่อทั้งหลาย ผมอยากให้อ่านพารากราฟนี้ให้ดี ๆ เลยครับ
...“ผู้หญิงที่หยุดพักผ่อน ท่องเที่ยวบ่อย ๆ มักไม่ค่อยมีอาการตึงเครียด หดหู่ หรือเหนื่อยล้า และพอใจกับชีวิตแต่งงานของตัวเองมากขึ้น !” ...
นี่เป็นผลวิจัยอย่างเป็นทางการของสถาบัน Marshfield Clinic ในเมืองมาร์ชฟิลด์ รัฐวิสคอนซิน ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์วิสคอนซินไว้ว่า ผู้หญิงที่หยุดพักผ่อนเพียงครั้งเดียวในรอบสองปี จะมีอัตราการเกิดภาวะซึมเศร้าและความตึงเครียดสูงกว่าผู้หญิงที่หยุดเที่ยวพักผ่อนสองครั้งหรือมากกว่านั้นต่อปี โดยอัตราความพึงพอใจในชีวิตสมรสจะแปรผันตามความถี่ของการพักผ่อนท่องเที่ยว
พูดง่าย ๆ เที่ยวน้อย ชีวิตสมรสอาจจะไม่ค่อยราบรื่นเท่าที่ควร ฉะนั้นการเที่ยวมันสำคัญกับเราทุกคนจริง ๆ นะครับ แม้แต่ญี่ปุ่นยังถึงขั้นออกกฎหมายให้พนักงานต้องลาพักร้อนออกเที่ยวอย่างน้อยปีละ 5 วันแล้ว เพื่อบรรเทาความเครียด หลังกระทรวงแรงงานของเขาสำรวจพบว่า ในปี 2556 พนักงานใช้วันลาพักร้อนเพียง 9 วัน จากสิทธิวันลาเฉลี่ย 18.5 วัน และหนึ่งใน 6 ของพนักงานญี่ปุ่นไม่ใช้วันลาเลย
ท่ามกลางยอดผู้เสียชีวิตจากความเครียดและการฆ่าตัวตายที่เพิ่มสูงขึ้นทุกที รัฐบาลญี่ปุ่นจึงใช้โอกาสนี้ออกกฎหมายให้ชาวญี่ปุ่นออกท่องเที่ยว เพื่อลดความเครียดจากการทำงาน อันเป็นการเจ็บป่วยทางกาย บาดเจ็บทางใจ
ฉะนั้นพ่อ ๆ แม่ ๆ ท่านไหนที่กำลังเผชิญกับความเครียดจากการทำมาหากิน หรือเลี้ยงดูลูกจนเริ่มเห็นโลกนี้เป็นสีหม่น ๆ แล้ว ผมขอแนะนำให้แพ็คกระเป๋าเดินทางแล้วชวนกันออกเที่ยวกันเถอะครับ วิธีนี้ลดความเครียดที่บั่นทอนชีวิต และยังช่วยเพิ่มความสุขให้ทุกคนในครอบครัวได้ผลชะงัดนักแล
ขอขอบคุณข้อมูล
คอลัมน์สุขภาพ หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์