การเติบโตในยุคดิจิทัล
ในปัจจุบัน “หน้าจอ” เข้ามามีบทบาทในชีวิตมาก และแทรกซึมเข้าสู่ทุกครอบครัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เด็กบางคนเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ เมื่อพ่อแม่และผู้ใหญ่รอบตัวเขาค้นพบพรสวรรค์นี้ในช่วงแรก พวกเขาอาจจะชื่นชมเด็กน้อย แต่เมื่อเวลาผ่านไป พรสวรรค์ที่มีอาจจะกลายเป็นกับดักแห่ง 'ความคาดหวังที่ไม่มีวันสิ้นสุด'
เมื่อลูกมีพรสวรรค์กว่าเด็กทั่วไป พ่อแม่อาจจะเพิ่มคาดหวังในตัวลูกโดยที่เราอาจจะไม่รู้ตัว สุดท้าย ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เด็กก็คือเด็ก เขาเป็นเพียงคนธรรมดาที่มีวันทำผิดพลาด เมื่อวันนั้นมาถึง หากพ่อแม่ยอมรับไม่ได้ว่า “ลูกเราไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบตลอดเวลา” เราอาจจะเผลอทำร้ายลูกด้วยการกดดันว่า “ลูกต้องทำให้ได้อย่างที่เราหวัง” ก่อนที่จะสายเกินไป
เด็กทุกคนเกิดมามีความแตกต่างกัน ดังนั้นพ่อแม่ไม่ควรเปรียบเทียบลูกกับเด็กคนอื่น ๆ เพราะการทำเช่นนั้น นอกจากจะบั่นทอนกำลังใจของพ่อแม่แล้ว ยังเป็นการทำลายความภาคภูมิใจในตัวลูกของเราอีกด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ลูกของเราจะมีพรสวรรค์ และทำได้ดีกว่าเด็กคนอื่นในวัยเดียวกับเขา แต่พ่อแม่ก็ไม่ควรอวดลูกให้กับคนอื่น ๆ จนเกินพอดี บางครอบครัวจะชอบอวดลูกกับญาติ ๆ หรือ เพื่อนข้างบ้าน การทำเช่นนี้นอกจากเป็นการกดดันลูกของคนอื่นแล้ว ยังเป็นการกดดันลูกของตัวเองอีกด้วย เด็กอาจจะรู้สึกว่า ...“พ่อแม่เชื่อว่า เขาเก่ง เขาทำได้ดี ดังนั้น เขาต้องห้ามทำพลาด เพราะไม่เช่นนั้นพ่อแม่จะผิดหวังในตัวเขาเป็นอย่างมาก”...
สิ่งที่พ่อแม่ควรทำ คือ ...“ยอมรับลูกในแบบที่ลูกเป็น"...
พ่อแม่บางท่านอาจจะไม่รู้ตัวว่า “เรากำลังเอาความฝันของเราไปยัดเยียดให้ลูกของเราแบกไว้ และให้เขาทำสำเร็จแทนเราในอดีตที่ทำไม่ได้” การทำเช่นนี้ลูกบางคนอาจจะทำได้สำเร็จ แต่สุดท้ายถ้าความฝันนั้นไม่ใช่ฝันของเขา ตัวลูกอาจจะรู้สึกกลวงโบ๋ข้างใน รอวันที่จะต้องเติมเต็มตัวเอง หรือ รอให้ลูกของตัวเองมาเติมเต็มฝันให้ตัวเองต่อไป วงจรแห่งความเศร้านี้ก็จะวนเวียนไม่สิ้นสุด ส่วนลูกบางคนที่ไม่สามารถทำฝันของพ่อแม่ให้เป็นจริงได้ เขาอาจจะรู้สึกผิดต่อพ่อแม่ของเขา และโทษตัวเองที่เป็นลูกที่ไม่ได้เรื่อง บาดแผลนี้อาจจะทำให้เขากลายเป็นผู้ใหญ่ที่กลัวการทำสิ่งต่าง ๆ ไปเลยก็ได้
สิ่งที่พ่อแม่ควรทำ คือ ...“การปล่อยให้ลูกได้เดินไปในทางที่เขาเลือกเดิน และอวยพรให้เขาไปถึงฝั่งฝัน"...
ลูกเกือบทุกคนมีความกลัวทำให้พ่อแม่ของตัวเองผิดหวัง เพราะความผิดหวังนำไปสู่ความเสียใจ ไม่มีลูกคนไหนอยากทำให้พ่อแม่ของตัวเองเสียใจ ดังนั้นพ่อแม่ควรระวัง เราไม่ควรผิดหวังหากลูกทำคะแนนไม่ได้ดี ไม่ชนะการแข่งขัน หรือ ทำไม่สำเร็จ เพราะสำหรับลูกแล้ว การที่พ่อแม่ผิดหวังในตัวเขา มันน่ากลัวกว่าการไม่ได้ที่หนึ่งหรือการพ่ายแพ้เสียอีก
สิ่งที่พ่อแม่ควรทำ คือ ...“เชื่อมั่นในตัวลูก แม้ในวันนั้นโลกทั้งใบจะหันหลังให้กับเขา”... เพราะในวันที่ลูกล้ม เมื่อเขารับรู้ว่า ...“พ่อแม่เชื่อมั่นในตัวเขา เขาจะมีแรงกลับมาเชื่อมั่นในตัวเองอีกครั้ง”...
พ่อแม่ควรตระหนักอยู่เสมอว่า "ทุกคนเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง เราทำผิดพลาดได้เสมอ ขอเพียงแค่เรียนรู้ และพัฒนาต่อไป”
นอกจากนี้ พ่อแม่ต้องยอมรับว่า ...“ไม่ใช่ทุก ๆ คนจะเกิดมาเพื่อทำทำอย่างได้ดีเลิศ เราทุกคนย่อมมีด้านที่ไม่ถนัดด้วยกันทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่า จะไม่ถนัดด้านใด และไม่ถนัดมากหรือน้อยแค่ไหน เท่านั้นเอง”... ด้วยเหตุนี้ เมื่อลูกพยายามเต็มที่แล้ว เขาอาจจะทำมันไม่ได้ พ่อแม่ควรเข้าใจ และยอมรับในสิ่งที่ลูกเป็น และมองให้เห็นด้านดีอื่น ๆ ของลูก มากกว่าจะมาตำหนิและเคี่ยวเข็ญเขาเพียงด้านเดียว
ไม่ว่าเด็กจะมีพรสวรรค์ในด้านใดมากเพียงใด เขาควรได้มีโอกาสได้เป็นเด็ก ได้เล่นกับเพื่อน ได้อ่านการ์ตูน ได้เป็นเด็กอย่างที่เขาควรจะเป็น แม้ว่าความสามารถของเขาจะเกินวัย แต่ใช่ว่า ทุก ๆ ด้านของเขาจะเติบโตพร้อมเป็นผู้ใหญ่แบบก้าวกระโดด
พ่อแม่ควรตระหนึกถึงข้อนี้ แต่ให้การส่งเสริมในทุก ๆ ด้านของชีวิต ไม่ใช่แค่เพียงด้านที่เด็กมีพรสวรรค์
ที่สำคัญ คือ การสอน “ความใจดี (Kindness)” ให้กับลูกด้วย ยิ่งเขาเก่ง เขาอาจจะรู้สึกว่าตัวเองนั้นดีกว่าใคร ๆ ดังนั้นการสอนให้เขารู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เขาจะเติบโตมาเป็นคนเก่งที่สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
นอกจากนี้ เด็กที่มีพรสวรรค์ด้านใด เขาอาจจะไม่ได้ชอบด้านนั้นก็ได้ อย่าคิดแทนเขาด้วยการคิดว่า “ลูกเก่งด้านนี้ แสดงว่า ลูกต้องชอบด้านนี้แน่ ๆ" เพราะเด็กบางคนอาจจะชอบด้านอื่นที่เขาอาจจะไม่ถนัด หรือ ถนัดแต่ไม่ที่สุดก็ได้ ให้โอกาสลูกได้เลือก และทำในสิ่งที่เขารัก
สุดท้าย “ทุกครั้งที่พ่อแม่ผิดหวังในตัวลูก ไม่มีลูกคนไหนโกรธหรือเกลียดพ่อแม่ของเขา จะมีก็เพียงแต่ลูกที่รักและมองเห็นคุณค่าในตัวเองน้อยลง" ลูกทุกคนแค่ต้องการให้พ่อแม่รักและอย่าหมดหวังในตัวเขา พลังแห่งความเชื่อมั่นที่พ่อแม่มีให้กับลูกสามารถแปรเปลี่ยนเป็นแรงใจท่ีมากมายมหาศาลให้กับเขา ทำสิ่งที่น่าเหลือเชื่อได้อีกมากมาย