การเติบโตในยุคดิจิทัล
ในปัจจุบัน “หน้าจอ” เข้ามามีบทบาทในชีวิตมาก และแทรกซึมเข้าสู่ทุกครอบครัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในชีวิตประจำวันหลาย ๆ ครอบครัว ต่างมีเวลาอันน้อยนิดที่จะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน แม่ทำงานเลิกดึกบ้าง พ่อไปสังสรรค์กับเพื่อนบ้าง บางบ้านต้องฝากลูกน้อยไว้กับคุณตาคุณยาย ลูกหันไปทางไหนก็ไม่เจอพ่อแม่มันน่าเศร้าใจยิ่งนัก
เราให้ความสำคัญกับปัจจัยภายนอกมากเกินไป จนหลงลืมไปว่าลูกตัวน้อย ๆ ของเราเขาเติบโตขึ้นทุกวัน มีบ้างที่ผมทำงานจนดึกดื่นกลับบ้านมาลูกก็หลับไปเสียแล้ว ส่วนตอนเช้าก็ต้องออกไปแต่เช้ากว่าลูกจะตื่นเราแทบไม่มีเวลาเจอหน้าพูดคุยกันเลย ผมเริ่มจัดการเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ ตั้งใจจะให้เวลากับลูก และครอบครัวเพิ่มมากขึ้น
จริง ๆ แล้วพ่อควรที่จะให้เวลากับลูกให้ได้มากที่สุด อาจเป็นเพราะพ่อส่วนใหญ่มีเวลาสัมพันธ์กับลูกน้อยมาก เด็กมักจะจดจำช่วงเวลาที่สนุกกับพ่อได้ดีไปจนโต บทบาทของพ่อในครอบครัวมักจะถูกให้ทำหน้าที่ดุลูก
จากที่ปกติไม่ค่อยได้พบเจอกันอยู่แล้วลูกก็จะเกิดการต่อต้าน ผมจึงเริ่มปรับเปลี่ยนตารางงานของผมใหม่ทั้งหมด ผมมีโอกาสได้เจอหน้าลูกบ่อยขึ้น ได้คุยกัน ความสัมพันธ์เริ่มดีกว่าแต่ก่อนมาก เรานั่งกินข้าวพร้อมกันโดยที่ให้ลูกนั่งตรงกลางระหว่างพ่อกับแม่ สังเกตจากสีหน้าและแววตาแล้ว ลูกดูมีความสุข เขาพูดคุยไม่หยุด เล่าเรื่องราวต่าง ๆ มากมายให้ผมได้ฟัง
ผมรู้สึกฉงนเล็กน้อย เด็กตัวแค่นี้เอาเรื่องอะไรมาพูดได้เยอะแยะไปหมด หรืออาจจะเป็นเพราะว่าผมไม่ได้มีเวลาพูดคุยกับลูกมานานแล้ว ผมสัมผัสได้ว่าเขามีพัฒนาการที่ดีมาก เขาเติบโตขนาดนี้แล้วหรือ ทำไมผมถึงพลาดโอกาสหลาย ๆ อย่างในช่วงชีวิตหนึ่งของลูกไป ผมรู้สึกว่าเขาพูดเก่งขึ้น เริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง เริ่มที่จะช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว อีกหน่อยเขาคงไม่ต้องการพ่อแม่แล้วกระมัง
ผมได้แต่คิด เขาแบ่งปันเรื่องราวแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ มากมาย ใจหนึ่งก็รู้สึกภูมิใจที่ลูกทำทุกอย่างได้ดี อีกใจก็เสียดาย เสียดายเวลาที่ไม่ได้เห็นตอนเขาทำสิ่งนั้น ๆ ได้ ผมสัญญากับลูก ผมจะไม่ปล่อยให้สิ่งดีดีเหล่านี้หล่นหายไปจากชีวิตผมอีก ผมจะดูแลเขาอย่างดี ประคับประคองเขาไปจนตลอดรอดฝั่ง ลูกจะสุขหรือทุกข์ ผมจะต้องได้รู้เป็นคนแรก
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการแบ่งปันเรื่องราว คือ ช่วงเวลาทานอาหารแบบพร้อมหน้าพร้อมตากัน ผมตั้งใจจะใช้เวลาช่วงนี้พูดคุยกับลูกให้ได้มากที่สุด หรืออาจจะเป็นช่วงเวลาอื่นก็ได้แล้วแต่บ้านไหนสะดวก ผมเคยคิดมาเสมอว่าแม่คือผู้ที่มีบทบาทมากที่สุดในการสั่งสอนลูก แต่ไม่เลยคนเป็นพ่อก็สามารถสั่งสอนลูกได้ดีไม่แพ้กัน เราครอบครัวเดียวกันต้องช่วยเหลือกันซึ่งกันและกัน เราทำงานกันเป็นทีมไม่ผลักดันให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรับหน้าที่ดูแลลูกอยู่เพียงผู้เดียว
การที่เรามีเวลาให้กับครอบครัวและลูกนั้น ส่งผลดีต่อด้านจิตใจของลูกมาก ๆ เขาจะมีเพื่อนคอยพูดคุย หรือทำกิจกรรมต่าง ๆร่วมกัน ไม่ต้องเล่นคนเดียวให้หงอยเหงา ถ้าเป็นไปได้เรามาปรับเปลี่ยนหาความสมดุลกับชีวิตกันครับ ทำให้บ้านสามารถเป็นที่แลกเปลี่ยนพูดคุย แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา
:: อ้างอิง ::
มาซารุ อิบุกะ, รอให้ถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว