991
รับมือเมื่อลูกร้องไห้ เพราะทุกน้ำตามีที่มา

รับมือเมื่อลูกร้องไห้ เพราะทุกน้ำตามีที่มา

โพสต์เมื่อวันที่ : June 1, 2023

 

“การร้องไห้” เป็นส่วนหนึ่งของการปรับตัวและรับมือกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นของเด็กและมนุษย์ทุกคน

 

ผู้ใหญ่ควรอนุญาตให้เด็กร้องไห้ได้และทำความเข้าใจใหม่ว่าการร้องไห้ไม่ได้เป็นสิ่งที่ไม่ดีเป็นสิ่งต้องห้าม เป็นสิ่งที่แสดงถึงความอ่อนแอ แต่สิ่งที่ผู้ใหญ่ควรทำคือการรับรู้อารมณ์เข้าใจ และตอบสนองอย่างเหมาะสมต่างหาก แนวทางในการรับมือกับการร้องไห้ของเด็ก ขอแบ่งที่มาของการร้องไห้ออกเป็น 2 กรณีใหญ่ ๆ

 

  • กรณีที่ 1 ในวันที่ลูกร้องไห้เพราะเขารู้สึกเศร้า โกรธ กลัวจากการสูญเสียสิ่งที่เขารัก

เช่น ของเล่นที่เขารักถูกทำลาย การแยกจากคนที่เขารัก เช่น แม่ทิ้งเขาไว้กับยาย เพราะต้องไปทำงานในเมือง การถูกทำร้ายทางกายใจเช่น โดนกลั่นแกล้งจากเพื่อน เพื่อนไม่ให้เข้ากลุ่มด้วย การเจ็บป่วยทางกายใจ หัวใจของเขาได้รับการกระทบกระเทือน 

 

ในกรณีนี้สิ่งที่ไม่ควรทำเด็ดขาดเลยคือการบอกให้ลูกหยุดร้องไห้ และที่เลวร้ายที่สุดคือการลงโทษให้ลูกหยุดร้องไห้เสียที เพราะสำหรับลูกแล้ว หัวใจของเขาที่บาดเจ็บมา คงแหลกสลายยิ่งไปกว่าเดิม 

 

 

 

..."การรับมือลูกร้องไห้ที่ดีที่สุด คือ “พื้นที่ปลอดภัย = การมีใครสักคนที่เขาไว้ใจอยู่เคียงข้างอย่างยอมรับและเข้าใจ"... 

 

🔻 1. ให้การเคียงข้าง ในเด็กเล็กมากที่ยังไม่สื่อสาร เมื่อร้องไห้ผู้ใหญ่เข้าไปโอบอุ้มและปลอบประโลม ในเด็กโต ผู้ใหญ่พาออกมาในพื้นที่ที่ปลอดภัย มีแค่เรากับเขา ให้ความมั่นใจว่า “ไม่เป็นไร ร้องไห้ได้นะ“ ที่สำคัญหากลูกอนุญาต ให้เรานั่งลงข้าง ๆ เขา ให้การโอบกอด ให้การสัมผัสอย่างอ่อนโยนด้วยการจับมือ/บีบไหล่เบา ๆ แต่ถ้าลูกยังไม่พร้อมให้เราเข้าไปใกล้ให้เรานั่งลงไม่ไกลจากเขา รอเวลาที่เด็กจะสงบและอนุญาตให้เราเข้าไป 

 

 

🔻 2. ให้การยอมรับ เป็นภาชนะรองรับอารมณ์เด็กได้ดีที่สุด คือใครสักคนที่เขาไว้ใจ และใครคนนั้นพร้อมที่จะเคียงข้างเขาอย่างเข้าใจ เด็กจะสามารถระบายความรู้สึกออกมาอย่างหมดใจ 

 

 

🔻 3. ให้การสะท้อนและเข้าใจ เมื่อเด็กค่อย ๆ สงบมากพอจะคุยกับเราแล้ว เราสามารถช่วยให้เด็กเรียนรู้อารมณ์ที่ตัวเองเผชิญอยู่ และเข้าใจตัวเองมากขึ้นได้ผ่านการใช้คำถามเหล่านี้ 

 

 

💬 “ตอนนี้ลูกรู้สึกอย่างไร ?" 
💬 “เกิดอะไรขึ้น ?” 
💬 “เราจะทำอย่างไรดีเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น ?” 
💬 “อยากให้พ่อ/แม่ช่วยอะไรลูกได้บ้าง ?” 
💬 “ครั้งหน้าถ้าเจอสถานการณ์แบบนี้อีก ลูกจะทำอย่างไรดี ?” 

 

 

🔻 4. ให้ความช่วยเหลือ หรือ เคียงข้างเขาตลอดการช่วยเหลือ ถ้าไม่รู้ว่าจะช่วยลูกอย่างไรดีให้ขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ เพราะบางครั้งสิ่งที่ลูกเผชิญอยู่เหนือการ ควบคุมของเรา การพาลูกไปพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา ไม่ใช่เรื่องไม่ดีแต่อย่างใด 

 

 

  • กรณีที่ 2 ในวันที่ลูกร้องไห้เพราะไม่ได้ดั่งใจ 

การร้องไห้ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพราะถูกทำร้ายทางกายใจแต่อย่างใด แต่เกิดขึ้นเพราะถูกขัดใจ อยากได้บางอย่าง แต่ไม่ได้เช่น แม่ทำอาหารที่ตัวเองไม่ชอบ ไม่อยากทำบางอย่าง แต่ต้องทำ เช่น ต้องไปแปรงฟัน แต่ไม่อยากแปรง ไม่ได้รับความสนใจอย่างที่ตัวเองต้องการ เช่น เวลาลูกคนแรกเพิ่งมีน้องคนที่สอง อยากเป็นฝ่ายควบคุม เช่น ไม่อยากเล่นเกมตามกติกาอยากเป็นคนสั่งมากกว่าคนทำตาม 

 

ส่วนใหญ่มักจะเกิดในเด็กปฐมวัย (0-6 ปี) เพราะเป็นช่วงวัยที่เด็กยังเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง (Egocentric) การร้องไห้เอาแต่ใจมักจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และเป็นไปเพื่อต้องการให้ได้ดั่งที่ตัวเองต้องการ และเพื่อต้องการให้ ผู้อื่นสนใจตนเอง 

 

ในกรณีนี้สิ่งที่ควรระมัดระวังคือการเผลอตามใจเขา หรือ ปล่อยให้เด็กเป็นฝ่ายควบคุมเรา ในความเป็นจริงแล้ว เด็กต้องเรียนรู้วินัยที่สำคัญในชีวิต นั่นคือการดูแลตัวเอง และการทำตามกติกาต่าง ๆ เพราะ จะช่วยให้เขาเรียนรู้ได้ดีเติบโตสมวัย 

 

 

การรับมือที่ดีที่สุดคือ “ใจดีแต่ไม่ใจอ่อน” 

1. ตั้งกติกาหรือข้อตกลงร่วมกันให้ชัดเจน

กฏ 3 ข้อที่ทุกบ้านและทุกคนควรทำตาม ได้แก่ ไม่ทำร้ายตัวเอง ไม่ทำร้ายผู้อื่น ไม่ทำลายข้าวของ กำหนดขอบเขต (เวลา-จำนวนสิ่งที่เขาจะได้) เช่น ทำได้มาก-น้อยแค่ไหน หมดเวลาเมื่อใด จะได้สิ่งนั้นเมื่อไหร่จะ ได้ทำเมื่อไหร่ กำหนดหน้าที่ (ลำดับความสำคัญก่อน-หลัง) เช่น กิจวัตรประจำวันต้องทำให้เสร็จก่อนไปเล่นเสมอ

 

 

2. เมื่อเด็กไม่ทำตามกติกา

ให้เราเตือนด้วยการทวนกติกาหรือข้อตกลงให้เขาฟัง ผู้ใหญ่ให้อิสระเด็กในการควบคุมตัวเองภายใต้กติกาที่เหมาะสมตามวัย เมื่อเด็กไม่ทำตาม เรามีหน้าที่ควบคุมกติกา ไม่ใช่บังคับให้เด็กทำตามคำสั่งเราเพียงอย่างเดียว และกติกาที่ดีควรเป็นกติกาที่ทุกคนต้องทำตาม ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ แตกต่างเพียงแค่ปริมาณหน้าที่ตามวัยเท่านั้นเอง 

 

เมื่ออยากให้เด็กทำตาม ผู้ใหญ่ควรเป็นแบบอย่างเช่นกัน เช่น ไม่อยากให้เด็กประวิงเวลา ผู้ใหญ่ก็ต้องตรงต่อเวลา ไม่อยากให้เด็กต่อรอง ผู้ใหญ่ก็ควรรักษาสัญญา พูดคำไหนคำนั้น 

 

 

3. เด็กร้องไห้อาละวาด เพราะเขาไม่อยากทำสิ่งใด

ให้เรารับมือด้วยความสงบและมั่นคง อย่าตื่น ตระหนก กลัวการอาละวาดของลูก 

 

  • ขั้นที่ 1 พูดให้น้อย พูดให้สั้นที่สุด ไม่ต่อรอง ไม่ขู่ ไม่บ่น บอกแค่สิ่งที่จำเป็น เช่น หมดเวลาแล้ว ไปแปรงฟันกัน
  • ขั้นที่ 2 พาออกมาจากสถานการณ์ตรงนั้นก่อน 
  • ขั้นที่ 3 ใช้การ Time-in คือ พาเด็กออกมาที่มุมสงบกับเรา ให้การเคียงข้าง แต่ไม่ตามใจหรือปล่อยให้เด็กทำในสิ่ง ที่ไม่เหมาะสม 
  • ขั้นที่ 4 เมื่อเด็กสงบค่อยกลับไปพูดกับเขา ย่อตัวลงเพื่อให้ตาของเราสบกับตาของเขา เพื่อให้การพูดคุยเป็นการ สอนเขา ไม่ใช่ทำให้เด็กกลัว 
  • ขั้นที่ 5 นี้หากเด็กต้องทำในสิ่งที่ต้องทำ แต่เขาหลีกเลี่ยงและประวิงเวลาด้วยการร้องไห้เราจะให้เวลาเขา ประมาณ 5 นาทีแล้วบอกเขาชัดเจนว่า เราต้องไปทำสิ่งนั้นให้เสร็จ แม้เด็กจะยังไม่สงบเต็มร้อย แต่เราจำเป็นต้อง ให้เขาเรียนรู้ว่า ไม่ว่าอย่างไรเราจะต้องทำสิ่งนั้นอยู่ดีการร้องไห้จะสั้นลงในคราต่อไปเมื่อครั้งนี้เขาได้เรียนรู้ว่า แม้ จะร้องไห้ก็ไม่ได้ทำให้เขาหลีกเลี่ยงงานได้สำเร็จ 
  • ขั้นที่ 6 พาเขากลับไปทำในสิ่งที่ต้องทำ เช่น เด็กร้องไห้เพราะไม่อยากแปรงฟัน ก็พาเขาไปแปรงฟันต่อ เด็กร้องไห้เพราะไม่อยากเก็บของเล่น ก็จับมือเขาไปเก็บของเล่นด้วยกัน 
  • ขั้นที่ 7 เมื่อทำสิ่งนั้นได้สำเร็จให้การชื่นชม และพูดคุยว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นสิ่งที่ดี 

 

 

4. กลับไปที่สายสัมพันธ์เสมอ

เวลาที่เด็กเอาแต่ใจมากเป็นพิเศษ มักจะมีสาเหตุอยู่เบื้องหลังเสมอเช่นมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงอายุที่มากขึ้น ต้องมีน้อง ต้องไปโรงเรียน เปลี่ยนโรงเรียน คนในบ้านเปลี่ยนไป 

 

ดังนั้นการที่ลูกดื้อมาขึ้น ไม่ฟัง เอาแต่ใจให้เรากลับไปที่การสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีกับเขาด้วยการมีเวลาคุณภาพให้ ให้ความสนใจ แต่ไม่ใช่การตามใจเช่น อ่านหนังสือนิทานให้เขาฟัง เล่นกับเขา ส่งเขาเข้านอน 

 

 

5. เด็กได้เรียนรู้ว่าการร้องไห้เอาแต่ใจจะไม่ทำให้เขาได้อย่างที่ต้องการ

เด็กจะหยุดทำพฤติกรรมเช่นนั้น แล้วทำพฤติกรรมอื่นที่ได้รับความสนใจมากกว่า เช่น แทนที่จะร้องไห้เหมือนเดิม เขาจะเปลี่ยนมาใช้การสื่อสารมากขึ้น

 

ดังนั้นให้การชื่นชมและความสนใจกับพฤติกรรมที่เหมาะสมของลูกเสมออย่ามองข้ามพฤติกรรมดี ๆ และตำหนิ แต่พฤติกรรมไม่ดีของลูกเพราะเขาจะมองเห็นแต่พฤติกรรมที่ไม่ดีของตัวเอง 

 

 

6. เด็กที่มีพัฒนาการไม่สมวัย 

เนื่องด้วยโรค/การเลี้ยงดู/บางสิ่งบางอย่างที่เข้ามาขัดขวางการเติบโต ควรได้รับการช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ เช่น แพทย์พัฒนาการจิตแพทย์เด็ก และนักกระตุ้นพัฒนากาารด้านต่าง ๆ ต่อไป เพราะการร้องไห้อาละวาดแทนการ สื่อสารผ่านคำพูดออกมา มักเป็นการแก้ปัญหาแบบเด็กเล็ก ดังนั้นหากยังเกิดขึ้นต่อเนื่องควรได้รับการช่วยเหลือ ก่อนที่จะสายเกินไป 

 

ทุกการร้องไห้มีที่มาเสมอเพียงแค่ว่าเราจะเข้าใจเหตุผลที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังนั้นหรือไม่เท่านั้นเอง ถ้ายังไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น อย่าใช้ตัวเราไปตัดสิน ให้เข้าไปทำความเข้าใจเสียก่อน และถ้าไม่รู้ว่าต้องรับมือกับการร้องไห้อย่างไรดีพูดให้น้อยและสั้นที่สุด รับฟัง และโอบกอดคือสิ่งที่ช่วยบรรเทาได้ เดี๋ยวนั้น

 



เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง