
เลี้ยงลูกแบบเรียบง่าย ไม่ใช่เรื่องยาก
การเลี้ยงลูกไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากจนเกินไป
ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ดีต่อการสร้างความสัมพันธ์และสายใยรักที่ดีระหว่าลูกและพ่อแม่ อันเป็นพื้นฐานของพัฒนาการที่ดีทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ในขณะเดียวกันเราพบว่าวิธีการเลี้ยงลูกของพ่อแม่บางครอบครัวนั้น "มาก" เกินไป ซึ่งอาจส่งผลไม่ดีต่อลูกได้
ในปัจจุบันเรากล่าวถึงคำว่า Over-parenting หรือการเลี้ยงลูกที่ประคบประหงมจนเกินไปมากขึ้นโดยพื้นฐานของการเลี้ยงลูกแบบประคบประหงมจนเกินไปนี้อยู่บนพื้นฐานของเจตนาที่ดีต่อลูก เพราะเราอยากให้ลูกได้รับสิ่งที่ดีที่สุด เราต้องการปกป้องลูกจากสิ่งที่อาจทำให้เขาเกิดอันตรายได้ เราไม่อยากให้เขาต้องรู้สึกผิดหวังเสียใจ เราเป็นห่วงเขา และอีกหลายความกังวลของพ่อแม่ต่อลูกที่มากจนเกินพอดี สิ่งเหล่านี้หากเยอะจนเกินไปมันก็เหมือนเป็นดาบสองคมเช่นกัน
เชื่อหรือไม่ ? มีคุณพ่อคุณแม่ที่ยังแปรงฟันให้ลูกเช้าเย็นอยู่เลย ฟังเผิน ๆ เป็นสิ่งที่ดี แต่คงไม่ใช่สำหรับเด็กวัย 15-16 ปีแล้ว (เรื่องจริงในห้องตรวจ) แล้วยังเจออยู่เยอะไปที่ทำทุกอย่างให้ลูกตั้งแต่เรื่องเสื้อผ้าหน้าผม ตารางเรียน การเรียนพิเศษ จนถึงจ้ำจี้จ้ำไขเรื่องการกินแบบย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ กลัวลูกได้สารอาหารไม่ครบ
รวมถึงการเข้าไปแก้ปัญหาให้กับลูกทันทีโดยไม่ให้โอกาสให้เขาได้ดูแลและแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองเลย มันคงเป็นสิ่งที่อาจเหมาะสมในบางเหตุการณ์ในช่วงวัยที่ยังเล็ก แต่นั่นคงไม่ใช่สำหรับเด็กวัยประถมปลายหรือมัธยมศึกษาอีกแล้ว เพราะเด็กควรต้องรู้จักดูแลตัวเองและมีความรับผิดชอบได้ดีในระดับหนึ่งแล้วโดยมีพ่อแม่เป็นที่ปรึกษาให้กับเขา ยื่นมือช่วยเหลือบ้างตามความเหมาะสม
ยิ่งคุณพ่อคุณแม่ประคบประหงมเขามากเกินไป อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างผู้ใหญ่ที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ผู้ใหญ่ที่ไม่มั่นใจในตัวเอง ผู้ใหญ่ที่ทำอะไรอย่างอื่นไม่เป็น (ยกเว้นการเรียน) ผู้ใหญ่ที่ไม่สามารถยืดหยุ่นได้ และที่สำคัญ เราอาจผลักลูกให้เผชิญกับภาวะ Foster Anxiety หรือภาวะวิตกกังวลจากการเลี้ยงดูอยู่ก็เป็นได้ มีการศึกษาพบว่า คนที่ถูกเลี้ยงดูมาแบบ "over-parenting" จะมีความพอใจในชีวิตต่ำกว่าคนที่โตมาด้วยการเลี้ยงดูแบบปกติ (แค่ฟังยังดูเศร้า ๆ เลยครับ)
หน้าที่ของพ่อแม่อย่างเรา ๆ คือ เลี้ยงเขาให้เติบโตแบบ "สุขภาพดี" ทั้งร่างกายและจิตใจ ดูแลไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ หรือเสี่ยงอันตราย แต่ให้ลูกเติบโตแบบเรียนรู้ชีวิต คิดเอง แก้ปัญหาเองบ้าง เจ็บเอง ช้ำเอง เสียใจ ดีใจ ผิดหวัง เพราะนี่คือชีวิตจริง เพราะ นี่คือ "บทเรียน" ที่ทำให้คนเติบโต และอยู่ได้ เพราะ พ่อแม่ ไม่สามารถอยู่กับเขาไปตลอดได้
ในขณะเดียวกัน ต้องให้ลูกรู้ว่า เมื่อเขาใช้ชีวิต หันหลังมายังมีเรามีครอบครัว เมื่อเขาผิดหวัง ข้างเขายังมีเราเดินเคียงข้าง เมื่อเขาต้องการกำลังใจ ความช่วยเหลือ เขายังมีพ่อแม่คอยผลักคอยดันอยู่ข้างหลัง ชีวิตเป็นของลูก เราเป็นเพียงคนประคอง มอบโอกาสในการใช้ชีวิตให้เขา อย่า "สิง" ลูกจนทุกอย่างมันสายไป อย่างน้อยในเด็กวัยเรียนก็ควรให้เขาได้จัดตารางสอนและรับผิดชอบทำการบ้านด้วยตัวเองเสมอ เพราะนั่นคืองานของเขามิใช่งานของพ่อแม่
ให้เขาได้มีโอกาสเลือกทำในสิ่งที่เขาสนใจ แม้ว่าพ่อแม่อาจไม่ค่อยเห็นด้วยกับกิจกรรมนั้นสักเท่าไร ถ้ามันไม่ได้อันตรายหรือส่งผลเสีย ก็ลองให้เขาได้ลงมือทำด้วยตัวเองบ้าง เพราะสิ่งที่เขาสนใจจริง ๆ จะมาซึ่งอะไรดี ๆ ใหม่ ๆ ต่อตัวเขาไม่มากก็น้อย เพราะนั่นก็คือชีวิตของเขา มิใช่ชีวิตของพ่อแม่ ให้โอกาสเขาได้เติบโตและมีทางเลือกเป็นของตัวเองด้วยนะครับ