64
ปลูกฝัง 'กาลเทศะ' วินัยทางสังคมที่เด็กยุคใหม่ต้องมี

ปลูกฝัง 'กาลเทศะ' วินัยทางสังคมที่เด็กยุคใหม่ต้องมี

โพสต์เมื่อวันที่ : March 1, 2025

 

ตามพจนานุกรม คำว่า “กาลเทศะ" [กา-ละ-เท-สะ] แปลว่า ‘เวลาและสถานที่’ กับอีกความหมาย คือ ‘ความควร ไม่ควร’

 

ดังนั้น “กาลเทศะ" คือ “ควร" หรือ “ไม่ควร" ที่จะกระทำอะไรบางอย่างใน “เวลา” และ “สถานที่” หนึ่ง พฤติกรรมบางอย่าง ถ้าอยู่ในเหตุการณ์หนึ่ง อาจจะเป็นสิ่งที่ "ไม่ควรทำ" แต่ถ้าอยู่ในอีกเหตุการณ์หนึ่ง ก็ "อาจจะทำได้” หรือ “สมควรทำ”

 

ซึ่งเกณฑชี้วัดว่า “เราควรทำ หรือ ไม่ควรทำอะไร เวลาไหน สถานที่ใด” ถูกกำหนดโดย “หลักปฏิบัติทางสังคมหรือมารยาททางสังคมนั้น ๆ” (สิ่งที่คนส่วนใหญ่ปฏิบัติและให้การยอมรับ) “กาลเทศะ” จึงมักถูกสอนควบคู่กับ “มารยาททางสังคมพื้นฐาน”

 

 

คำถามคือ “เด็กคนหนึ่งจะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ที่รู้จักกาลเทศะได้อย่างไร ?”

คำตอบคือ เด็กคนหนึ่งจะรู้จัก “กาลเทศะ” ก็ต่อเมื่อเขามี “วินัย” เป็นโครงสร้างในการดำเนินชีวิต (เพราะเขาควรควบคุมตนเอง เคารพกฎกติการที่ตกลงกับผู้ใหญ่ที่บ้านให้ได้เสียก่อน) และมี “มารยาททางสังคม” เป็นข้อกำหนดในการปฏิบัติตัวนั่นเอง

 

 

เด็กจะเรียนรู้มารยาททางสังคมได้ดีจากประสบการณ์จริงเมื่อเข้าไปอยู่สังคม ได้พบปะผู้อื่นนอกจากคนใกล้ชิดของเขา ซึ่งก่อนจะพาเด็กออกไปสู่โลกกว้าง สิ่งที่เด็ก ๆ ควรปฏิบัติได้ก่อนมีดังนี้

 

❶. สามารถดูแลช่วยเหลือตัวเองในเรื่องพื้นฐาน (Self-care) — เด็กควรช่วยดูแลช่วยเหลือตัวเองขั้นพื้นฐานได้ เพราะเมื่อเขาออกไปสู่สภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย เขาจะสามารถดูแลตัวเองได้บ้าง เช่น กินข้าวเอง ใส่รองเท้าเอง บอกขอไปเข้าห้องนำ้เองได้

 

ถ้าเด็กยังใส่เสื้อผ้าเองไม่ได้ กินข้าวยังต้องให้คนอื่นป้อน ก็ต้องหยุดไว้เพียงขั้นนี้ เพราะนั่นแปลว่า "พัฒนาการของเขายังไม่พร้อม" (เด็กยังไม่ถึงวัยที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ คือ ต่ำกว่า 3 ปี) ในกรณีนี้เราก็รอให้เด็กถึงวัยเสียก่อนที่จะคาดหวังให้เขาทำได้ หรือ "ตัวเด็กยังไม่พร้อม" (เด็กถึงวัยที่จะช่วยเหลือตัวเองแล้ว แต่ยังไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง) ในกรณีหลัง เราต้องให้การฝึกฝน และให้เด็กช่วยเหลือตัวเองให้ได้สมวัยของเขา

 

 

❷. อดทนรอคอย — เด็กควรเรียนรู้การรอคอยได้เวลาต้องเข้าแถวเพื่อทำอะไรบางอย่าง นอกจากนี้เขาจำเป็นต้องอยู่กับตัวเองได้บ้าง ซึ่งเด็กที่จะสามารถรอคอยได้ดี สังเกตได้จากการที่เขาสามารถเล่นด้วยตัวเอง โดยไม่เรียกร้องให้ใครต้องมาเล่นกับเขา (Self entertaining) ดังนั้นเมื่อเด็กรู้จักเล่น และหาอะไรทำระหว่างรอหรือเบื่อได้ เขาจะสร้างความสนุกระหว่างรอได้โดยไม่เรียกร้องจากผู้ใหญ่ให้พาเขาออกไปที่อื่น

 

ซึ่งเด็กวัยต่าง ๆ จะรอคอยได้ต่างกัน เด็กอายุ 3-5 ปี เขารอคอยได้นานสุด คือ 5-15 นาที / เด็กอายุ 6-8 ปี เขาจะรอคอยได้นานขึ้น ประมาณ 15-20 นาที เป็นต้นไป ทั้งนี้ "การรอคอย" นอกจากฝึกเรื่องของการควบคุมตนเองแล้ว ยังเป็นเครื่องชี้วัดแนวโน้มการประสบความสำเร็จในชีวิตเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่อีกด้วย

 

 

❸. ประสบการณ์นอกบ้าน — เด็กบางคนเป็นเด็กน่ารัก นิสัยดีเวลาอยู่บ้านกับเรา แต่พอออกไปนอกบ้าน (ที่ไม่ใช่ไปโรงเรียน) เขากลับกลายเป็นเด็กอีกคน ทั้งไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่ (คนอื่น) ต่อต้าน วิ่งไปทั่ว และทำลายข้าวของ

 

พ่อแม่บางคนบอกว่า "ลูก ๆ ของตนนั้นน่ารักมากเวลาอยู่บ้าน เป็นเพราะสภาพแวดล้อม หรือ สิ่งเร้าหรือเปล่าที่มีผลกับลูก ๆ ของตน” นั่นอาจจะเป็นสาเหตุของการวิ่งซน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเด็กที่รู้จักกาลเทศะ จะต้องควบคุมตนเองได้ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ตาม เพราะบางครั้งพวกเขาเรียนรู้ที่จะปฏิบัติตัวดีกับที่บ้าน แต่เขาไม่เรียนรู้ที่จะควบคุมตัวเองเวลาอยู่นอกบ้าน ดังนั้นถ้ามีโอกาสควรพาเด็กออกมานอกบ้านกับเรา โดยสอนสิ่งที่ควรปฏิบัติให้กับเขาด้วย เด็กจะเรียนรู้จากประสบการณ์จริงมากกว่าการสอนปากเปล่า และเรียนรู้ได้ดีที่สุดถ้าพ่อแม่ของเขาทำให้ดูเป็นตัวอย่าง (เวลาอยู่นอกบ้าน) พวกเขาจะเลียนแบบเวลาพ่อแม่ของเขาปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นและสภาพแวดล้อม

 

ดังนั้น เพื่อสร้างความคุ้นชิน และความมั่นใจ จึงควรพาเด็ก ๆ ไปนอกบ้าน ไปสัมผัสกับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างและหลากหลาย เพื่อให้เขาพัฒนาทักษะการควบคุมตนเอง ปรับตัว และวางตัวได้ดีขึ้น

 

● บทความที่เกี่ยวข้อง : เมื่อลูกไม่สวัสดี

 

❹. เคารพซึ่งกันและกัน — ถ้าอยากให้เด็กเคารพผู้อื่น เราก็ควรเคารพเขาด้วย ถ้าอยากให้ลูกปฏิบัตต่อผู้อื่นในสังคมอย่างไร เราก็ควรปฏิบัติต่อลูกเช่นนั้นด้วยเช่นกัน เราอยากให้ลูกพูดดี ๆ ไพเราะ เราก็จะพูดเช่นนั้นกับลูกก่อน

 

“สวัสดี” เพื่อทักทายกัน “ขอบคุณ” เมื่อทำสิ่งดี ๆ ให้กัน “ขอโทษ” เมื่อเราทำผิดต่อกัน และ “ชื่นชม” เมื่อเรารู้สึกยินดี โดยไม่เก้อเขิน

 

 

❺. รู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ และตรงต่อเวลา — เพราะเด็กท่ีรู้ว่าเขามีงานอะไรที่ต้องรับผิดชอบบ้าง และงานใดสำคัญมากที่สุด เขาจะสามารถเรียนลำดับความสำคัญได้ดี ผนวกกับการเป็นคนตรงต่อเวลาทำให้เด็กที่รับผิดชอบงานได้ สามารถทำงานได้ทันเวลา และส่งงานได้ตรงเวลานั่นเอง เขาจะรู้ว่าเวลานี้ควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร และสำคัญที่สุด คือ “เขารู้จักควบคุมตนเองให้ทำสิ่งที่ควรในเวลาที่เหมาะสม”

 

 

ทั้ง 5 ข้อนี้ เป็นความสามารถพื้นฐานที่จะช่วยให้เด็กคนหนึ่งสามารถเข้าใจและปฏิบัติได้เหมาะสมตาม “กาลเทศะ” ส่วนมารยาททางสังคมพื้นฐานที่เด็กควรรู้ควบคู่กับกาลเทศะ ได้แก่ กฎเหล็ก 3 ข้อ ที่มารยาททางสังคมได้แทรกอยู่ในนั้น

 

 

กฎเหล็ก 3 ข้อที่ควรมีทุกบ้าน

 

①. ไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน — ไม่ให้ใครมาละเมิดสิทธิพื้นฐานที่เราพึงมี ได้แก่ “เวลา” และ “สิ่งที่ควรเป็นของเรา” เช่น ถ้าเพื่อนแซงคิวการเล่นชิงช้าของเรา เราควรจะยืนหยัดเพื่อสิทธิในการเล่นของเรา ไม่ใช่ปล่อยให้เขาเล่นไป เพราะนอกจากเราจะเดือดร้อนแล้ว เพื่อนคนดังกล่าวก็ไม่ได้เรียนรู้อะไรจากการทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมเช่นนี้ หรือ ถ้าเราไม่อยากทำอะไร เราควร(กล้า)ปฏิเสธให้ชัดเจน ไม่เช่นนั้นนอกจากเราจะเดือดร้อนแล้ว นานวันทั้งเราและอีกฝ่ายจะตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกทั้งคู่ ความสัมพันธ์อาจจะถูกทำลายลงในที่สุด

 

“อ่อนโยน” แต่ไม่ใช่ “อ่อนแอ” เพราะเราไม่จำเป็นต้องยอมในทุก ๆ เรื่องกับคนทุกคน เราสามารถใช้คำพูดเชิงเหตุผลเพื่อต่อรองและปฏิเสธได้เสมอ ซึ่งเด็ก ๆ อาจจะยังทำไม่ได้ดีเท่าผู้ใหญ่ แต่ถ้าเขาเผชิญสถานการณ์ที่ตัวเองต้องฝึกหาเหตุผลมาพูดคุยอย่างประนีประนอมแล้ว เขาจะทำได้ดีขึ้นในครั้งต่อ ๆ ไป ซึ่งเด็กจะเลียนแบบจากคนใกล้ตัว ถ้าเราใช้เหตุผลในการพูดคุยกับเขา (หรือปฏิเสธเขาด้วยเหตุผล) เขาจะเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงนี้ด้วย

 

 

②. ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน — เช่น "ไม่ส่งเสียงรบกวนรวมทั้งเปิดเสียงเครื่องมือสื่อสารเสียงดัง (เวลาเด็กดูการ์ตูนบรมือถือ)" ในร้านอาหาร โรงภาพยนตร์ หรือ พื้นที่สาธารณะที่มีคนอยู่เยอะ "ไม่วิ่งเล่น ปีนป่าย หรือ ขึ้นไปกระโดด" ถ้าสถานที่นั้นไม่ใช่สนามเด็กเล่น "ถ้ามีคิว เราต้องต่อแถวทุกครั้ง" แม้จะนานแค่ไหนก็ตาม ถ้าอยากให้ผู้อื่นทำอะไรให้ ต้องถามเขาก่อนว่า "เขาสะดวก (ว่าง) หรือเปล่า?” ถ้าเขาสามารถไม่สามารถทำให้ได้ ณ ตอนนั้น เราควรรอ หรือ ไม่ควรไปกดดันให้เขาทำให้เราเดี๋ยวนั้น

 

● บทความที่เกี่ยวข้อง : กฎ 3 ข้อที่ทุกบ้านควรมี

 

③. ไม่ทำลายข้าวของ — “ดูแต่ตา มืออย่าต้อง ของจะเสีย” ประโยคคลาสสิคที่เด็กทุกยุคทุกสมัยรู้จักดี ซึ่งเราควรปฏิบัติตาม ถ้าเราอยากหยิบของที่ไม่ใช่ของเรา ควรขออนุญาตเจ้าของก่อนจะหยิบขึ้นมาดู ถ้าเป็นเด็กที่ไปห้างสรรพสินค้า เขาควรจะถามผู้ใหญ่ก่อนว่า “เขาหยิบมาดูได้ไหม” ก่อนจะไปหยิบมาดู ถ้าเราคิดว่าบริเวณนั้นปลอดภัย เช่น ร้านหนังสือ หรือ ร้านของเล่นเด็ก เราควรบอกถึงหลักปฏิบัติในการหยิบสินค้ามาดูด้วย คือ เปิดหนังสือเบา ๆ จับเบา ๆ และเมื่อดูเสร็จแล้วเก็บเข้าที่เดิมด้วย

 

ที่สำคัญไม่หยิบของที่ไม่ใช่ของตัวเองกลับบ้านเด็ดขาด แม้ของชิ้นนั้นจะไม่มีราคาอะไร เช่น ของจากธรรมชาติ หิน หอย ปะการัง และอื่น ๆ โดยสรุป การสอนเรื่อง “กาลเทศะ” จะเป็นมากกว่าการสอนมารยาททางสังคม แต่เป็นการสอนให้เด็กคนหนึ่งเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่มี “วินัยทางสังคม”

 

กล่าวคือ มีความรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่น สามารถเป็นที่ยอมรับของสังคม และในขณะเดียวกันมองเห็นคุณค่าและยอมรับตนเองได้ด้วย เพราะ “กาลเทศะ” เป็นทักษะทางสังคมอย่างหนึ่ง ดังนั้นเด็ก ๆ จำเป็นต้องเรียนรู้จากคนรอบข้าง พ่อแม่ และผู้ใหญ่รอบตัวเด็ก จึงเป็นปัจจัยหลักที่จะสอนให้เด็กคนหนึ่งรู้จักกาลเทศะรวมทั้งมารยาททั้งสังคม

 

 

ทั้งนี้ไม่มีเด็กคนไหนเกิดมาแล้วรู้ว่า เวลาไหนควรทำอะไร และอะไรควรไม่ควร เขาเรียนรู้จากการสภาพแวดล้อมและการสอนอย่างสม่ำเสมอจากพ่อแม่และผู้ใหญ่รอบตัวเขานั่นเอง

 

 

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง