รู้ได้ไง ? ว่าเราไม่ได้สปอยล์ลูก
มาเช็คสัญญาณที่ (อาจ) บ่งบอกว่าลูกถูกสปอยล์อยู่
..."ไม่มีเด็กคนใดเกิดมาด้วยพฤติกรรมเอาแต่ใจตัวเอง และขี้โวยวาย แต่เขาเรียนรู้ที่จะมีพฤติกรรมเหล่านี้ ดังนั้นเราสามารถปรับพฤติกรรมของลูกให้ดีขึ้นได้ ยิ่งเริ่มเร็ว ยิ่งปรับพฤติกรรมได้ง่ายกว่าและรวดเร็วกว่า"...
พ่อแม่ควรพูดคำว่า “ไม่” ได้อย่างไม่ต้องรู้สึกผิด หากสิ่งนั้นเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลที่จะถูกปฏิเสธ โดยพ่อแม่เองก็ต้องอดทนต่อน้ำตาของลูกให้ได้ในระดับหนึ่งด้วย มิฉะนั้นเราจะถูกน้ำตาและเสียงร้องของเขาควบคุมเราให้ทำตามที่ลูกต้องการโดยไม่สมเหตุสมผลได้ บนพื้นฐานที่ว่าเราจะไม่พูดคำว่า “ไม่” และห้ามพร่ำเพรื่อให้เขาใช้ชีวิตและเล่นอย่างเต็มที่ภายใต้กรอบของวินัย ศีลธรรม และกิจวัตรที่เหมาะสมนั่นเอง ไม่ใช่ห้ามวิ่ง ห้ามเสียงดัง ห้ามเถียง ห้ามไปเสียหมดทุกเรื่องก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ
ยกตัวอย่าง
ลูกอยากเล่นที่สนามเด็กเล่นต่อ ไม่ยอมกลับบ้านทั้งที่ถึงเวลาที่ได้ตกลงกันแล้ว ร้องไห้เสียใจและกำลังจะต่อรองกับเราเพื่อจะเล่นต่อ สิ่งที่พ่อแม่ต้องทำมิใช่การต่อรองแต่เป็นการยืนกรานว่าถึงเวลาที่ต้องกลับบ้านแล้ว หากลูกจะร้องไห้เสียใจ ผิดหวังก็ต้องปล่อยให้ลูกเรียนรู้ที่จะผิดหวังได้ ลูกร้องไห้เสียใจ พ่อแม่ก็แค่อยู่ใกล้และเข้าใจความรู้สึกของลูก โดยเราอาจจะพูดสะท้อนความรู้สึกของเขาสั้น ๆ ให้เขาเข้าใจว่า “เสียใจได้ค่ะลูก แต่วันนี้ถึงเวลาต้องกลับแล้วค่ะ” จากนั้นรอให้เขาร้องไห้สักพัก พอสงบลงบ้างก็พากลับบ้านแล้วค่อย ๆ คุยกับเขาต่อก็ได้เพื่อให้ภาพของเหตุการณ์ชัดขึ้น เช่น “แม่รู้นะว่าหนูอยากเล่นต่อ และเสียใจที่ต้องกลับบ้านแล้ว แม่เข้าใจลูก เป็นแม่ แม่ก็เสียใจ แต่ถึงเวลากลับบ้านแล้วค่ะ เราตกลงกันไว้แล้วใช่ไหมคะ พรุ่งนี้เรากลับมาเล่นใหม่ได้นะคะ”
⁂ ข้อแม้ ⁂ อย่าพยายามสอนหรือพูดเยอะในขณะที่ลูกกำลังเสียใจฟูมฟาย สงบอยู่ข้างลูก เพื่อให้เขาเรียนรู้ที่จะรับกับความผิดหวังและอารมณ์ที่กำลังพุ่งพล่านอยู่ได้ เพราะบ่อยครั้งที่ความเงียบและความสงบของพ่อแม่เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ได้ผลดีสำหรับสถานการณ์ที่วุ่นวายตรงหน้า
ยกตัวอย่าง
เมื่ออาหารหมด ต้องการให้แม่เติมอาหารหรือนมให้ หรือเมื่อลูกร้องไห้เรียกแม่มาเล่นด้วยในขณะที่แม่กำลังทำอย่างอื่นอยู่ การสอนให้ลูกรออีกนิด รอแม่ทำงานที่อยู่ตรงหน้าเสร็จก่อน เริ่มต้นสัก 1 - 2 นาทีตอนลูกยังเล็ก ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีที่จะสอนให้ลูกรู้จักรอคอยนะครับ การซื้ออาหารที่ลูกชอบกิน แล้วบอกเขาว่า เดี๋ยวเราจะกินด้วยกันตอนพ่อกลับมาบ้าน หรือของเล่นใหม่ที่เพิ่งได้มา แล้วบอกเขาว่า ..."เดี๋ยวเราค่อยกลับไปแกะกล่องที่บ้าน"... แทนที่จะแกะเลยตั้งแต่อยู่บนรถ เหล่านี้ก็เป็นเรื่องง่าย ๆ ที่เปิดโอกาสให้ลูกรู้จักการอดทนรอยคอยได้ดีทีเดียว และแน่นอนว่าการอดทนรอคอยอาจไม่ถูกใจลูกจนเกิดอารมณ์โกรธหรือหงุดหงิดได้ ก็ต้องให้ลูกเรียนรู้ที่จะผิดหวังและควบคุมตนเองได้นั่นเอง
การสอนให้ลูกมีระเบียบวินัยและกิจวัตรที่ดี ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะเป็นเรื่องสำคัญในการกำหนดสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวันอย่างการกิน การนอน การอาบน้ำ-แปรงฟัน งานบ้าน ตลอดจนการบ้านจากโรงเรียน นี่คือกิจวัตรที่ต้องทำ เบื่อแค่ไหนก็ต้องทำ ไม่ควรต่อรอง ต้องควบคุมตัวเองให้ทำกิจวัตรเหล่านี้ให้ได้ก่อนการเล่นสนุกและทำในสิ่งที่ชอบ และทำให้ลูกจะคาดเดาได้ว่าตอนนี้เขาควรทำอะไรก่อนหลัง เหล่านี้ก็จะช่วยลดการดื้อหรือต่อต้านลงได้มากเลยครับ
พ่อแม่ที่มีอยู่จริงสำหรับเขาที่พร้อมจะมอบความรักแบบไร้เงื่อนไขให้เขา มองข้อดีพฤติกรรมที่ดีของเขาได้ เพราะเมื่อเด็กรู้สึกปลอดภัย รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า ตัวเองมีดี ทำดีแล้วมีค่าพอให้ชื่นชม เขาจะอยากทำเรื่องที่ดี ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเมื่อเด็กมีความปลอดภัยทางอารมณ์เพียงพอ เขาจะเริ่มสังเกตและใส่ใจกับความรู้สึกของคนอื่นที่อยู่รอบตัว เอาใจเขามาใส่ใจเรา และลูกจะเป็นที่รักของคนรอบข้างได้โดยไม่ต้องพยายาม
หากคุณพ่อคุณแม่ไม่รู้จะเริ่มปรับพฤติกรรมลูกอย่างไร ให้เริ่มที่ตัวเราเองก่อน อยากให้ลูกเป็นอย่างไร จงเป็นแบบนั้นให้ลูกดู เห็น สัมผัส เพราะคำพูดสักร้อยพันคำก็ไม่หนักแน่นพอเท่ากับการกระทำที่ทำจริงของพ่อแม่นั่นเอง