เลี้ยงลูกรักด้วยหลัก "5L"
หลัก 5L คืออะไร ?
“ฉันมันโง่เอง ไม่มีความสามารถเอง ทำแล้วเลยแย่แบบนี้”
“ครั้งนี้อาจจะยังแย่อยู่ แต่ก็ทำให้รู้ว่า มันมีจุดผิดพลาดตรงไหนบ้าง”
”ฉันทำมันไม่ได้หรอก ปัญหานี้อย่างไรมันแก้ไขไม่ได้หรอก”
“ฉันจะลองทำมันอีกครั้ง ครั้งนี้ยังไม่ได้ก็ต้องหาทางแก้มันอีกที”
“ไม่เอาอ่ะ ทำแบบเดิมก็ดีอยู่แล้ว”
“ลองดูก็ได้ มันน่าสนใจดี แม้จะดูยากไปหน่อยก็เหอะ”
เมื่อคนสองคนต้องเผชิญกับ ‘ปัญหา’ ที่เป็นอุปสรรคที่ใหญ่พอที่จะสั่นคลอน ‘ผลลัพธ์’ ที่เกิดขึ้นจากการลงมือทำที่เหมือนกันด้วยวิธีการคิดที่แตกต่าง - ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง นำไปสู่ผลลัพธ์ในระยะยาวที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
สิ่งนี้แหละที่เรียกว่า “กรอบความคิดแบบเติบโต” หรือ Growth Mindset ในขณะที่คนที่หนึ่งอยู่ภายใต้ “กรอบความคิดแบบยึดติด” หรือ Fixed Mindset บางคนเรียกว่า ‘กรอบความคิดแบบจำกัด’
ผู้ที่ติดอยู่ในกรอบความคิดแบบยึดติด มักทำสิ่งเดิมซ้ำ ๆ อยู่ในกรอบเดิม ๆ เกรงกลัวความผิดพลาด ไม่กล้าเสี่ยงอาจเพราะกลัวความล้มเหลว ความผิดพลาด ความรู้สึกกลัวที่จะทำมันได้ไม่ดี นี่เป็นเหตุผลที่เด็กและผู้ใหญ่หลายคนจึงกลัวความเปลี่ยนแปลง ต้องการยึดโยงอยู่กับ ‘พื้นที่ปลอดภัย’ หรือ Comfort Zone ของตัวเอง
ทั้งที่ในความเป็นจริงการก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัย การรับความเสี่ยงที่จะเกิดความล้มเหลวอาจเป็นหนทางไปสู่ ‘ความสำเร็จ’ ก็ได้ หรือหากไม่ประสบความสำเร็จ เราเองจะได้เรียนรู้ว่า ความจริงนั้นอาจไม่มีสิ่งใดในโลกนี้เรียกมันว่า “ความล้มเหลว” จริง ๆ หากแต่เป็นเพียง ”บทเรียน” ที่เราได้รับระหว่างทางในการลงมือทำที่จะทำให้เราพัฒนาทักษะ ความคิด และตัวเองให้เก่งขึ้นไปได้อีกกว่าที่เป็นอยู่นั่นเอง เช่นเดียวกับที่โธมัส อัลวา เอดิสัน ผู้ประดิษฐ์หลอดไฟคนแรกกล่าวไว้ว่า
“I have not failed. I’ve just found 10,000 ways that won’t work.” (“ผมไม่ได้ล้มเหลว แต่ผมได้ค้นพบวิธีที่ไม่ได้ผลถึง 10,000 วิธี“)
กรอบความคิดแบบเติบโต หรือ Growth Mindset ถูกพูดถึงในวงกว้างเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาหลังจากที่ ศาสตราจารย์แครอล ดเว็ค (Carol S. Dweck) นำเสนอแนวความคิดนี้ผ่านหนังสือ Mindset: The New Psychology of Success ที่มีงานวิจัยสนับสนุนชัดเจนว่า กุญแจที่นำไปสู่ความสำเร็จในชีวิตและการงานนั้นอยู่ที่ ‘วิธีการคิด’ หรือ ‘กรอบความคิด’ แบบเติบโต ที่เชื่อว่า ความสามารถรวมถึงสติปัญญาของมนุษย์สามารถพัฒนาได้ผ่านการลงมือทำอย่างทุ่มเท มุมานะ อุตสาหะ มิใช่อาศัยเพียงพรสวรรค์และความฉลาด (ความสามารถของสมองที่ดี) เท่านั้น
เพราะพรสวรรค์และความฉลาดเป็นเพียง ‘ต้นทุน’ ในการลงมือทำ ทำได้ดีในช่วงแรกเท่านั้น หากไร้ซึ่งความอดทน ขวนขวาย พยายามหาความรู้ พยายามลงมือทำซ้ำ ๆ จนเกิดความชำนาญ รวมถึงการจัดการควบคุมตัวเองที่ดีเมื่อต้องรับมือกับปัญหาหรือความล้มเหลวที่เกิดขึ้น (หลายครั้งเรียกทักษะในการควบคุมตัวเองนี้ว่า Resilience หรือความยืดหยุ่นของสมองในการเผชิญอุปสรรค) เหล่านี้จะนำทางไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ในที่สุด รวมถึง ‘ความสำเร็จ’ นั่นเอง
กรอบความคิด หรือ วิธีคิดและความเชื่อของแต่ละบุคคลที่ส่งผลอย่างใหญ่หลวงต่อ ‘ศักยภาพ’ ของคนคนนั้นในการรับมือกับปัญหา และอุปสรรคที่เกิดขึ้น สิ่งเหล่านี้สามารถเรียนรู้และส่งต่อให้กันได้ จากพ่อแม่และผู้เลี้ยงดู ส่งต่อไปยังลูกหลานได้ตั้งแต่เป็นเด็ก คุณพ่อคุณแม่อยากส่งต่อกรอบความคิดแบบยึดติด ที่ยอมจำนนต่อตัวเอง ต่อปัญหาว่าทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว หรืออยากส่งต่อกรอบความคิดแบบเติบโตที่เชื่อว่าตัวเองสามารถพัฒนาได้ในทุกด้าน