สัญญาณ(บ่ง)บอกว่า “ลูกเริ่มมีฟันน้ำนมซี่แรก”
สังเกตพฤติกรรมที่เกิดขึ้นได้เมื่อลูกฟันกำลังงอก
ข้อมูลจาก CDC สหรัฐอเมริกาพบว่าเด็กวัยประถมศึกษา (8 - 12 ปี) ใช้หน้าจอนาน 4 - 6 ชั่วโมงต่อวัน และวัยรุ่นอาจใช้หน้าจอสูงถึงวันละ 9 ชั่วโมงต่อวันเลย และนั่นส่งผลเสียต่อสุขภาพกายและจิตของคนในทุกช่วงอายุอย่างที่เราอาจคาดไม่ถึง
คำแนะนำของราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย แนะนำว่าเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบไม่ควรดูหน้าจอทุกชนิด อายุ 2 - 6 ปีไม่ควรใช้หน้าจอเกินวันละ 1 ชั่วโมง และอายุ 6 ปีขึ้นไปไม่ควรใช้หน้าจอเกินวันละ 2 ชั่วโมง โดยเนื้อหาในหน้าจอควรมีความเหมาะสมตามวัยด้วย ไม่นับการวิดีโอคอล และการใช้สื่อสำหรับการเรียนในชั้นเรียน สำหรับสื่อสังคมออนไลน์ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำพื้นฐานของสื่อสังคมออนไลน์นั้น ๆ กล่าวคือ คนที่สามารถลงทะเบียนเข้าใช้งานได้ต้องมีอายุ 13 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป แต่ในทางปฏิบัตินั้นบอกได้เลยว่า ทำไม่ค่อยได้ เพราะเราต่างเห็นหน้าเด็กต่ำกว่า 13 ลงบนสื่อสังคมออนไลน์กันมากมาย มีหน้าเพจเป็นของตนเอง
ผลเสียโดยตรงของหน้าจอ ก็คือ การจำกัดเด็กให้นั่งนิ่งอยู่กับที่ เสียโอกาสในการเคลื่อนไหวร่างกาย การออกกำลังกาย การเล่นกีฬา และการได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนอื่นรอบตัว ส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยตรง และยังส่งผลเสียต่อปฏิสัมพันธ์ ทักษะทางภาษา ทักษะการเข้าสังคม และการปรับตัวของเด็ก ๆ ต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ ทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคอ้วนในเด็กอีกด้วย เพราะไม่เคลื่อนไหวตัวเองก็ส่วนหนึ่ง บางคนกินขนม น้ำอัดลมตอนดูหน้าจอด้วย
นอกจากนี้ยังส่งผลเสียต่อการนอน ยิ่งมีหน้าจอในห้องนอนยิ่งส่งผลกระทบมาก ความเพลิดเพลินในการดูหน้าจอ ยิ่งทำให้การเข้านอนช้าและยากขึ้น จนรบกวนระยะเวลาในการนอน รวมถึงคุณภาพของการนอนอีกด้วย ยิ่งแจ้งเตือน มีเสียงรบกวนตอนนอน ยิ่งทำให้นอนไม่พอ ส่งผลต่อการทำกิจกรรมในช่วงกลางวัน โดยเฉพาะการเรียนในห้องเรียน
ผลเสียต่อสายตา การใช้หน้าจอเป็นเวลานานทำให้ตาแห้ง (การเพ่งทำให้กะพริบตาลดลง) ปวดศีรษะ รบกวนการมองเห็น มีข้อมูลพบว่าการใช้หน้าจอมากเกินไปทำให้เกิดสายตาสั้นในเด็กได้ นอกจากนี้ยังส่งผลต่อสรีระของร่ายกาย โดยเฉพาะส่วนศีรษะและคอ ทำให้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่ได้
สุดท้ายทั้งหมดทั้งมวลนี้ส่งผลกระทบต่อการเรียนและการทำงาน เพราะการใช้หน้าจอที่มากเกินไปนั้นดึงดูดให้เราไม่มีสมาธิในการเรียนและการทำงาน ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการเรียนลดลง ทั้งการคำนวณ ภาษา และการคิดวิเคราะห์ก็ลดลง ไม่สามารถทำงานตามความรับผิดชอบได้เสร็จ และอาจผลการเรียนตกได้
ในขณะเดียวกันผลกระทบต่อสมองและพฤติกรรมในทางลบก็ชัดเจน การศึกษาพบว่า การดูหน้าจอส่งผลให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่ดีได้ เช่น การพูดคำหยาบคาย พฤติกรรมรุนแรง การควบคุมตนเองไม่ได้โดยเฉพาะการควบคุมอารมณ์ มีสมาธิสั้นลง และส่งผลต่อความสัมพันธ์กับคนรอบข้างอีกด้วย
เนื่องจากเมื่อเด็กมีปฏิสัมพันธ์และใช้เวลาที่ดีกับพ่อแม่ลดลง จะนำมาซึ่งปัญหาพฤติกรรมต่อกันอีกหลายเรื่อง ยิ่งพ่อแม่ผู้ปกครองไม่ได้ควบคุมเนื้อหาที่ลูกดู ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่เด็กจะไปดูสื่อที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสมกับวัย ความรุนแรง เพศ การใช้ภาษาที่ไม่เหมาะสม จนเด็กอาจเลียนแบบพฤติกรรมเหล่านั้นได้
..."เหรียญมีสองด้าน หน้าจอก็เช่นกัน"...
ข้อดีก็มี ข้อเสียก็เยอะ ดังนั้นการหาจุดสมดุลในการใช้หน้าจอให้ได้ เพราะหน้าจอเปิดโลก เปิดประสบการณ์หลายอย่างให้กับเด็ก รายการเพื่อการศึกษาที่ดีมีไม่น้อย หลายอย่างก็นำมาปรับใช้ ปรับเล่น ปรับพฤติกรรมให้กับลูกได้อย่างดี ดังนั้นการใช้อย่างเหมาะสม ไม่นานเกินไป มีกฎกติกาชัดเจนจึงเป็นเรื่องที่พ่อแม่ต้องทำ เพื่อประโยชน์ของลูกเราเอง