79
ปัญหาสุขภาพเด็กในยุคใหม่ ที่พ่อแม่อาจไม่รู้

ปัญหาสุขภาพเด็กในยุคใหม่ ที่พ่อแม่อาจไม่รู้

โพสต์เมื่อวันที่ : January 25, 2025

 

ในปัจจุบัน หากมองในแง่มุมของทางการแมองในจะพบว่า การแพทย์ในปัจจุบันก้าวหน้าขึ้นมากในแง่ของความเข้าถึงระบบบริการสาธารณสุข วัคซีน การวินิจฉัยและการรักษา ทำให้อัตราการเสียชีวิตปริกำเนิด การเสียชีวิตจากโรคต่าง ๆ ลดลงอย่างมาก เช่น โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด โรคมะเร็งในเด็ก รวมถึงโรคติดเชื้อหลายชนิด เป็นต้น

 

ในขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงของผู้คน การใช้ชีวิต สิ่งแวดล้อมก็ก่อให้เกิดปัญหาทางสุขภาพกายของเด็กอีกมากมายที่คุณพ่อคุณแม่อาจมองข้ามไป เพราะสุขภาพกายเป็นพื้นฐานของการพัฒนาของสมอง ให้มีความพร้อมที่จะเล่นและเรียนรู้เพื่อมีพัฒนาการตามวัยที่ดีนั่นเอง ดังนั้นผู้เขียนจะมาเน้นย้ำถึง ’ปัญหาสุขภาพในเด็กปัจจุบัน’ ที่พ่อแม่อาจมองข้ามไป

 

 

1. การขาดสารอาหาร

ในปัจจุบัน สามารถกล่าวได้เต็มปากว่า เราไม่ขาดแคลนอาหารเช่นในอดีต คุณพ่อคุณแม่สามารถเข้าถึงอาหารได้ง่าย แต่เราพบว่า เด็กไทยยังคงขาดสารอาหารในอัตราที่สูง โดย 3 อันดับแรกของสารอาหารที่เด็กไทยขาดมากที่สุด ได้แก่ เหล็ก วิตามิน ดี และสังกะสี

 

สารอาหารทั้งสามตัวส่งผลต่อการเจริญเติบโตทั้งทางร่างกายและสมอง ในแง่มุมต่าง ๆ ทั้งระยะสั้นและระยะยาว พ่อหมอเป็นหมอโรคเลือดเด็ก จึงเน้นย้ำความสำคัญของธาตุเหล็กมาเสมอ สำหรับทุกคนในครอบครัว เพราะมิใช่เพียงเด็กเล็ก แต่ขาดหมดทั้งเด็กวัยรุ่นและผู้ใหญ่นะ มิใช่แค่เหล็ก แต่ตามข้อมูลในปัจจุบันพบว่า ทุกช่วงอายุของคนไทยนั้นขาดสารอาหาร 3 ตัวนี้เป็นอันดับต้น ๆ

 

  • ธาตุเหล็ก : เนื้อแดง เลือด ตับ ผักใบเขียวจัด

"ธาตุเหล็ก" ใช้ในการสร้างเม็ดเลือด รวมถึงกระบวนการต่าง ๆ ของร่างกาย พบว่า เด็กไทยขาดเหล็กจนซีด 10 - 25% แล้วแต่ว่าจะศึกษาที่ไหนอย่างไร ไม่ต่างนักจากในอดีต ทั้งที่อาหารก็สมบูรณ์ดี นัยหนึ่งคือ มีกลุ่มที่ไม่กินเนื้อสัตว์ กินยาก หรือเริ่มให้เด็กกินเนื้อสัตว์ช้า เมื่อเกิดภาวะซีด เด็กจะรู้สึกอ่อนเพลีย กระทบต่อการเรียนรู้ หากทิ้งไว้ยาวนานก็อาจส่งผลต่อ ไอคิว ความฉลาด การเรียนรู้ จึงเน้นย้ำให้พาลูกไปตรวจเลือดคัดกรองภาวะซีดตามวัยตอนก่อน 1 ขวบเสมอ นี่คือ มาตรฐานของไทยและสากล ในขณะเดียวกันก็ต้องรับประทานอาหารที่ธาตุเหล็กสูงอย่างเพียงพอด้วย

 

  • วิตามิน D : ตับ ไข่แดง ปลาที่มีไขมันสูง

ร่างกายเราสังเคราะห์วิตามิน D ได้เองที่ผิวหนังจากการสัมผัสรังสียูวีจากแสงแดด สิ่งย้อนแย้ง คือ ประเทศไทยมีแดดที่แผดเผาแต่ก็ยังพบว่า ทั้งเด็กไทยและคนไทยขาดวิตามิน ดี กันมาก อาจเพราะเราสัมผัสแดดน้อยลง เดินออกไปนอกบ้านต้องกางร่ม ทาครีมกันแดด

 

ในขณะเดียวกันบริโภคอาหารที่มีวิตามิน D สูงไม่เพียงพอ โดยวิตามิน D สำคัญต่อสุขภาพกระดูก ทำหน้าที่กระตุ้นการดูดซึมแคลเซียมเข้ามาจากลำไส้มากขึ้น ทำงานร่วมกับ Parathyroid hormone ในการสร้างสมดุลของแคลเซียมในร่างกาย ยังพบว่า วิตามิน D อาจส่งผลต่ออารมณ์อีกด้วย

 

ที่ต้องเน้นย้ำก็คือ ในนมวัว มีแคลเซียมสูง แต่ไม่ได้มีวิตามิน ดี สูง ดังนั้นทุกคนในครอบครัวควรได้รับแสงแดดที่เพียงพอ แดดอ่อน ๆ ตอนเช้าอย่างสม่ำเสมอด้วย

 

  • สังกะสี : เนื้อสัตว์หลายชนิด อาหารทะเล

"สังกะสี" มีส่วนในการทำงานต่างๆ ของระบบในร่างกาย ตั้งแต่การเจริญเติบโต จนถึงเรื่องของภูมิคุ้มกัน การขาดสังกะสีชนิดรุนแรง ทำให้เกิดผิวแห้ง ผื่นอักเสบ เบื่ออาหาร ท้องเสียรุนแรง และภูมิคุ้มกันต่ำ ติดเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ง่าย ดังนั้นเด็กที่ยอมรับประทานเนื้อสัตว์เลยต้องระมัดระวังการขาดธาตุสังกะสีเป็นพิเศษ การศึกษาในไทยพบเด็กไทยขาดสังกะสีราว 1 ใน 4 ของประชากร

 

 

2. โรคอ้วน

การบริโภคที่มากเกินใช้ โดยเฉพาะอาหารจำพวกหวาน-มัน-เค็ม เช่น อาหารจานด่วนชนิดต่าง ๆ รวมถึงขนมหวาน ร่วมกับการนั่งนิ่ง ๆ กิน ๆ นอน ๆ ไม่ออกกำลังกาย ทำให้คนไทยประสบกับภาวะน้ำหนักเกินเกณฑ์จนถึงเป็นโรคอ้วนมากขึ้น เป็นความเสี่ยงในการเกิด ‘โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง’ อย่างโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดสมอง หลอดเลือดหัวใจ และโรคไขมันในเลือดสูง เป็นต้น โรคเหล่านี้เป็นสาเหตุให้เพิ่มโอกาสการเสียชีวิตได้ไม่เพียงเฉพาะในผู้สูงอายุ โรคอ้วนในเด็กก็เช่นกัน

 

สาเหตุเป็นเพราะวิถีชีวิตในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต พื้นที่กว้าง ๆ ให้เด็ก ๆ ได้ทำกิจกรรมลดลงโดยเฉพาะในเขตเมือง เวลาของพ่อแม่ก็ลดลงด้วยหน้าที่การงาน ปัญหาจราจรและภาวะเศรษฐกิจ ทำให้เด็ก ๆ ใช้ชีวิตนอกบ้านในการเคลื่อนไหวร่างกายลดลงเมื่อเทียบกับในอดีต ประกอบกับ ‘หน้าจอ’ ในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูน ทีวี วิดีโอเกม สื่อสังคมออนไลน์ชนิดต่าง ๆ ที่อยู่รายล้อมตัวที่พร้อมตรึงเด็กให้อยู่นิ่งกับที่มากขึ้น ร่วมกับอาหารจานด่วนที่เข้าถึงได้ง่าย มาส่งถึงบ้านทันที ร้านสะดวกซื้อจำนวนมากทุกมุมถนน ร้านขนมหน้าโรงเรียน และอื่น ๆ ทำให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่มีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง

 

ดังนั้นพ่อแม่ควรต้องใส่ใจกับอาหารที่ลูกรับประทานด้วยเสมอ สัดส่วนของผักและผลไม้ควรได้รับอย่างเหมาะสม ปริมาณน้ำมันต่อวันต้องไม่เกิน 3 ช้อนชาในเด็ก 1 -3 ขวบ และไม่เกิน 4 ช้อนชาในเด็ก 4 - 5 ขวบ (ตามคำแนะนำของกรมอนามัย) และปรับสัดส่วนอาหารเป็น ผักครึ่งหนึ่ง เช่นเดียวกับผู้ใหญ่ได้หลังอายุ 5 ขวบขึ้นไป โดยเฉพาะในเด็กที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์ ในขณะเดียวกันก็ควรจัดบ้านให้ไม่มีขนมขบเคี้ยวให้เข้าถึงได้ง่ายเกินไป และพ่อแม่ควรเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกในการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วย

 

 

3. ความปลอดภัย

อุบัติเหตุโดยเฉพาะการจมน้ำ ยังคงเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของเด็กไทย โดยเฉพาะในช่วงปิดเทอมใหญ่ (ฤดูร้อน)สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การสอดส่องดูแลจากผู้ใหญ่ ไม่อนุญาตให้ลงเล่นน้ำในที่ต่าง ๆ หากไม่มีผู้ใหญ่กำกับดูแล

 

โดยพบว่า "เด็กเล็ก" มักจมน้ำในแหล่งน้ำที่อยู่ในบ้านและรอบบ้าน เช่น ถังน้ำ อ่างบัว ตุ่ม ร่องน้ำ หนอง คลอง และบึงที่อยู่ใกล้บ้านในช่วงเวลาที่ผู้ใหญ่เผลอ ผู้ปกครองต้องเน้นย้ำไม่ให้เด็กลงเล่นน้ำโดยเด็ดขาดหากไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย และป้องกันไม่ให้เด็กเข้าถึงแหล่งน้ำได้ด้วยตัวเอง ส่วน "เด็กโต" มักจมน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติ จากการลงเล่นน้ำ ซึ่ง “การว่ายน้ำเป็น” ไม่ได้รับรองว่าจะปลอดภัย แต่การเรียนว่ายน้ำให้เด็กดูแลตัวเองได้ก็เป็นสิ่งที่ควรทำ หากทำได้ควรมีอุปกรณ์ช่วยชีวิตอย่างห่วงยาง เสื้อชูชีพที่พร้อมใช้งานไว้ใกล้ ๆ เสมอ

 

รองลงมา คือ อุบัติเหตุทางจราจร หากขับขี่รถจักรยานยนต์ควรสวมหมวกกันน็อกที่มีมาตรฐาน หากโดยสารรถยนต์ ไม่ควรให้เด็กขับขี่จักรยานยนต์ด้วยตัวเองก่อนวัยอันควร กล่าวคือ ต้องมีใบขับขี่ก่อนเสมอ เด็กเล็กควรนั่งคาร์ซีต (ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก) อย่างเหมาะสมเสมอ และปรับเปลี่ยนเป็นเบาะรองนั่ง (Booster Seat) เมื่อถึงัยที่เหมาะสม แนะนำให้นั่งเบาะหลังเป็นหลัก (ย้ายมานั่งเบาะหน้าข้างคนขับได้เมื่ออายุเกิน 13 ปีขึ้นไป)

 

เหล่านี้คือสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรมองข้าม เพราะสุขภาพกายของเด็กนั้นสำคัญมากต่อการเจริญเติบโต