แม่ที่ไม่มีเวลา
‘วิธีการเลี้ยงดู’ และ ‘แบบอย่าง’ เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อกาเติบโตของลูก
สอนสิ่งที่จำเป็นในการดำรงชีวิตให้กับเขาเพื่อสักวันหนึ่งลูกจะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในสังคมต่อไป สายสัมพันธ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นเมื่อ พ่อแม่ได้มอบความรักและเวลาคุณภาพให้กับลูก ทำให้ลูกรับรู้ว่าตนเป็นที่รักและเป็นที่ต้องการของพ่อแม่
ตามทฤษฎีพัฒนาการทางจิตสังคมของ (Psychosocial Development) อีริก อีริกสัน นักจิตวิทยาชาวเยอรมัน ได้กล่าวไว้ว่า “พัฒนาการขั้นแรกของมนุษย์ (วัย 0-2 ปีแรก) เริ่มจากการที่พ่อแม่ต้องสร้างความเชื่อใจ (Trust) ให้กับลูก โดยมุ่งสร้างความสัมพันธ์ (Attachment) ซึ่งเกิดขึ้นจากความรัก ที่แสดงออกผ่านการให้ความสนใจ ดูแลอย่างใกล้ชิดและตอบสนองต่อความต้องการของลูกขั้นพื้นฐาน หรือ กล่าวโดยสรุปว่า “พ่อแม่ต้องเป็นผู้ที่ลูกสามารถพึ่งพิงได้ในยามที่เขายังไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้นั่นเอง”
เช่น...
สิ่งที่สำคัญของพ่อแม่คือการบอกรักลูกผ่านการเล่น กอด อุ้ม หอม เล่านิทาน และพูดคุยกับลูกแม้ในวันที่เขายังไม่รู้ภาษาก็ตาม การปรากฏตัวของพ่อแม่อย่างสม่ำเสมอและตอบสนองต่อความต้องการขั้นพื้นฐานของลูก ทำให้เด็กรับรู้ว่า 'พ่อแม่มีอยู่จริง' และเขาสามารถเชื่อใจพ่อแม่ได้ ซึ่งความเชื่อใจดังกล่าวจะพัฒนาไปสู่ความเชื่อใจที่มีต่อโลกภายนอกในเวลาต่อมา
หากพ่อแม่ไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการขั้นพื้นฐานของลูก เด็กจะพัฒนาความไม่เชื่อใจต่อบุคคลหรือโลก (Mistrust) ขึ้นมา สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเด็กสามารถแบ่งเป็น 2 กรณี
กรณีแรก : เด็กอาจจะพยายามเรียกร้องสิ่งที่เขาต้องการอย่างสุดกำลัง โดยไม่สนใจว่าวิธีการที่เขาเรียกร้องนั้นเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม เพราะสำหรับเด็กที่ขาดการได้รับความรักและความสนใจอย่างเขาขอแค่เพียงสิ่งที่เขาทำส่งผลให้คนหันมาสนใจหรือมองเห็นตัวเขาก็เพียงพอแล้ว เราสามารถเห็นเด็กแบบนี้ทำให้ตัวเองเดือดร้อนและผู้อื่นเดือดร้อนอยู่เนืองนิจ และไม่มีท่าทีว่าเขาจะหยุดทำจนกว่าคนจะสนใจเขา ซึ่งความสนใจที่เขาได้รับนั้นมีทั้งแบบชื่นชมและตำหนิ
กรณีที่สอง : เด็กอาจจะทำตัวเข้มเเข็ง เพราะเขาต้องพึ่งพาตัวเองตั้งเเต่เล็ก แต่ภายในของเขาอาจจะเปราะบาง เพราะไม่มีใครเติมเต็มความรักให้เขาเมื่อยังเยาว์วัย ที่สำคัญเขาอาจจะแสดงออกในแบบต่อต้านสังคม เพราะสำหรับเด็กที่ไม่เคยได้รับความรักอย่างเขา การได้รับการกอดหรือได้รับความรักในเวลานี้ อาจจะทำให้เขารับความรู้สึกนั้นไม่ไหว ไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการ แต่เขากลัวเหลือเกินว่า “ความรักนั้นจะไม่ยั่งยืน” เขากลัวที่จะต้องเสียใจอีกครั้งเมื่อความรักที่ได้รับนั้นหมดลง
อย่างไรก็ตาม สำหรับพ่อแม่ที่มีความจำเป็นต้องทำงานไปด้วยเลี้ยงลูกไปด้วย เพราะถ้าหากไม่ทำเช่นนั้น ครอบครัวไม่อาจขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ ด้วยเหตุปัจจัยเรื่องปากท้องย่อมมาก่อนสิ่งอื่นใด หรือ พ่อแม่บางท่านอาจจะเป็นพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว สิ่งที่เราสามารถทำได้ คือ “การจัดสรรเวลาที่มีอยู่ให้กลายเป็นเวลาคุณภาพ”
ขอแค่พ่อแม่ทำให้เวลาที่มีอยู่กับลูกแสนน้อยนิดในแต่ละวัน ให้กลายเป็นเวลาคุณภาพที่สุดเท่าที่พ่อแม่จะทำได้ โดยการชดเชยให้ลูกในทุก ๆ วันที่กลับมาจากทำงาน ดูแลและตอบสนองต่อความต้องการของลูกที่ถูกละเลยไปตลอดวัน วางเครื่องมือสื่อสารและโลกภายนอกไว้เบื้องหลัง และมอบสายตาทั้งสองข้างให้ลูกที่อยู่เบื้องหน้าเรา
ให้ความรักผ่านการสัมผัส กอด เล่น อ่านหนังสือนิทาน และกล่อมเขาเข้านอน เคียงข้างจนลูกหลับไป เพื่อสร้างสายใยในใจลูกในทุก ๆ วันที่กลับมา ณ ที่เก่าเวลาเดิม สม่ำเสมอ ลูกจะสามารถสร้างความเชื่อใจขึ้นมากับพ่อแม่ได้ ทำให้พ่อแม่มีอยู่จริงในชีวิตเขา ส่งผลให้เขาสามารถวางใจในโลกได้
สำหรับลูกแล้ว เมื่อพ่อแม่มอบความรักผ่านการมีเวลาคุณภาพให้กับเขา ลูกจะรับรู้ว่า “ตนเองนั้นมีคุณค่าสำหรับพ่อแม่เพียงใด” และการรับรู้ถึงคุณค่าตรงนี้ ทำให้เด็กสามารถพัฒนาไปสู่การรับรู้ว่า “ตนเองนั้นมีอยู่จริงสำหรับพ่อแม่เช่นกัน” เมื่อเขามีอยู่จริงและมีคุณค่ามากพอสำหรับพ่อแม่ ในวันข้างหน้าเด็กจะสามารถยืนหยัดเพื่อตัวของเขาเองได้ โดยไม่สั่นคลอนต่ออุปสรรคหรือเสียงของใคร
ไม่มีหรอกพ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบ จะมีก็เพียงแต่ “พ่อแม่ที่มีอยู่จริง” เราไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบในทุก ๆ ด้านหรือเป็นพ่อแม่ที่ดีเลิศเลอในทุก ๆ เรื่อง แต่เราควรเป็นพ่อแม่ที่มีเวลาคุณภาพ เป็นพ่อแม่ที่มีความสุข และเป็นพ่อแม่ที่มีอยู่จริงสำหรับลูก และรับรู้ว่าลูกก็มีอยู่จริงสำหรับเราก็เพียงพอแล้ว
อ้างอิง : Widick, C., Parker, C. A., & Knefelkamp, L. (1978). Erik Erikson and psychosocial development. New directions for student services, 1978(4), 1-17.