ช่วยลูกก็ดี แต่ไม่ช่วยจะดีกว่า ?
การยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือนั่นก็ไม่ผิด แต่อาจไปทำลายโอกาสบางอย่างของเด็ก ๆ
เพราะเด็ก ๆ ทุกคน ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย เวลาจะเป็นเด็กดีก็ดีแสนดีจนทำให้ผู้ใหญ่อย่างเราอดหลงรักไม่ได้ แต่ถ้าซนหรือดื้อขึ้นมาก็ทำให้ผู้ใหญ่อย่างเรา 'ปรี๊ดแตก' ได้ บ่อยครั้งที่เด็ก ๆ จะทดสอบความอดทนผู้ใหญ่อย่างเรา ด้วยสารพัดวิธีที่สามารถจะสรรหามาได้
ผู้ใหญ่อย่างเรา ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครอง คุณครู และคนที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ๆ ไม่มีทางหลีกเลี่ยงวันแย่ ๆ ได้ แต่จะทำอย่างไรเพื่อให้เราผ่านพ้นวันแย่ ๆ นี้ไป โดยไม่เผลอไปทำร้ายเขา เวลาเด็ก ๆ ทำพฤติกรรมไม่ดี ผู้ใหญ่หลายคนมักจะเผลอตำหนิ เด็กถึง 'ตัวตน' ของเขา
'ตัวตน' ของเด็ก ไม่ได้หมายถึงแค่เพียง 'ร่างกาย รูปร่างหน้าตาของเด็ก'
แต่หมายรวมไปถึง 'ตัวตน' ในลักษณะ 'อัตตา(Self)' คือ สิ่งที่เด็กเป็น สิ่งที่เด็กรัก สิ่งที่เด็กให้ความสำคัญ และสิ่งที่ประกอบรวมเป็นเขาขึ้นมา ดังนั้นคำว่า 'ตัวตนของแต่ละคน' จึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก ไม่มีใครรู้ได้ว่า ขอบเขตของตัวตนของแต่ละคนสิ้นสุดที่เรื่องใด ยกเว้นบุคคลเจ้าของตัวตนเอง "ตัวตน" ใช้ระยะเวลานานกว่าจะก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาได้ ดังนั้น 'ตัวตน' จึงเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ยากยิ่ง (แต่ไม่ใช่ว่าเปลี่ยนแปลงไม่ได้)
ตัวอย่างที่ยกไปข้างต้น คือ การตำหนิที่ไปกระทบกับ 'ตัวตน' ของเด็กโดยตรง ผลของการตำหนิรูปแบบนี้ คือ เด็กจะรู้สึกสิ่งที่ตัวเองยังไม่ดีพอ นานวันเข้าความเชื่อมั่นในตนเองจะถดถอย คุณค่าที่มีให้กับตนเองก็เสื่อมคลาย และยากที่จะกู้กลับมา สิ่งที่ควรทำที่แท้จริง คือ การตำหนิที่พฤติกรรมหรือการกระทำของเด็ก
'พฤติกรรม' คือ การกระทำที่แสดงออกมาเพื่อตอบสนองต่อเหตุการณ์บางอย่าง
คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตได้อย่างชัดเจนจากภายนอก เช่น การส่งเสียงดัง การทำลายข้าวของ การพูดจาทำร้ายคนอื่น การทำร้ายคนอื่น เป็นต้น ดังนั้นถ้าเด็กไม่ยอมทำการบ้าน ให้ตำหนิที่พฤติกรรมการไม่ทำการบ้าน ซึ่งการตำหนิที่ดีควรเป็นไปในลักษณะประโยคบอกเล่ามากกว่าประโยคคำถาม (ที่ไม่ได้ต้องการคำตอบ) เช่น...
✅ "ได้เวลาทำการบ้านแล้ว"
✅ "หยุดเล่นแล้วมาทำการบ้านก่อน"
ไม่ใช่ประโยคคำถามเชิงประชดประชัน เพราะนอกจากไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นแล้ว อาจจะทำให้แย่ลงไปอีก ต่างฝ่ายต่างมีอารมณ์
❌ "วันนี้การบ้านยังจะทำอยู่อีกมั้ย ?"
❌ "การบ้านนะไม่ใช่การโรงเรียน"
..."การตำหนิที่ดีจึงเป็นไปเพื่อ 'การสอนสั่ง' ไม่ใช่ 'การเอาชนะ'"...
อารมณ์และสีหน้าท่าทางอาจจะไม่จำเป็นเท่าการบอกสิ่งที่ต้องการจากเด็ก และสิ่งที่ต้องการให้เด็กทำ ไม่อยากให้เกิดความคิดนี้ในหัวของผู้ใหญ่คนใด "เพราะเธอทำกับฉันแบบนี้ เธอต้องโดนฉันจัดการเสียแล้ว อยากลองของนักใช่มั้ย ?” ขอให้ตำหนิ สั่งสอนเขา ด้วยความรัก ไม่ใช่เพื่อการทำร้าย
ถ้าเด็กไม่พร้อมหรือทั้งเราและเขาไม่พร้อม ให้หยุด และเอาตัวเองออกมาจากสถานการณ์ตรงหน้า มาสูดหายใจลึก ๆ สงบสติอารมณ์ แล้วค่อยไปพูดกันใหม่ ไม่มีอะไรสายเกินไป จะมีก็แต่หุนหันพลันแล่นเกินไปจนอาจจะทำร้ายกัน
ดังนั้น "การตำหนิ สั่งสอน ไม่ได้เป็นไปเพื่อการทำร้ายจิตใจเด็ก แต่เป็นไปเพื่อให้เด็กพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น บางครั้งเด็กทำไปด้วยความไม่รู้ หน้าที่ของผู้ใหญ่ คือ การสอนเขา ไม่ใช่ทำโทษเขาอย่างรุนแรง แต่เมื่อรู้แล้ว เด็กยั่งทำสิ่งเดิมซ้ำอีก ก็สอนเขาอีก เด็กทุกคนไม่ได้เรียนรู้ในเวลาที่เท่ากัน บางคนสอนเพียงครั้งเดียว เขาจำได้ บางคนสอนเป็นร้อยครั้งยังจำไม่ได้ ก็ต้องสอนต่อไป"
อย่าลืมว่า "เราโตกว่าเด็กตั้งกี่ปี เราผ่านอะไรมามากมาย ทั้งประสบการณ์ และการเรียนรู้" ดังนั้นอย่าใช้อารมณ์แบบเดียวกับที่เด็กกระทำกับเรา เพราะเด็กยังเป็นเด็ก แต่เด็กจะเป็นผู้ใหญ่ที่ดีไม่ได้ ถ้าไม่มีผู้ใหญ่ดี ๆ สั่งสอนเขา
..."เด็กหลายคนทำให้เราเป็นผู้ใหญ่ที่ดีขึ้น เพราะพวกเขาได้สอนเราในเรื่องของความอดทน ความรักและเมตตา"...