456
5 ข้อที่พ่อแม่พึงระวังหากไม่อยากเป็นทุกข์หรือสร้างทุกข์ให้ลูกเมื่อเล่นโซเชียลเน็ตเวิร์ก

5 ข้อที่พ่อแม่พึงระวังหากไม่อยากเป็นทุกข์หรือสร้างทุกข์ให้ลูกเมื่อเล่นโซเชียลเน็ตเวิร์ก

โพสต์เมื่อวันที่ : December 8, 2020

 

คุณแม่ท่านหนึ่งบอกว่า “รู้สึกเป็นกังวลมากค่ะ ลูกอยู่อนุบาล 1 แล้ว แต่ยังเขียนตัวอักษรไม่ได้เลยค่ะ”

 

เมื่อถามไปถามมาว่าทำไมคุณแม่เป็นกังวลจัง เพราะวัยนี้เป็นช่วงเตรียมกล้ามเนื้อมัดเล็กให้พร้อม และพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่เป็นหลัก ถ้าจะเขียนไม่ได้ ก็ไม่เเปลกอะไร คุณแม่ก็สารภาพมาว่า "พอดีเห็นลูกของเพื่อนในเฟซบุ๊คเขียน ก-ฮ ได้แล้ว เลยมองกลับมาที่ลูกตัวเองว่า ทำไมยังทำไม่ได้"

 

ในความเป็นจริง ไม่ใช่เพียงคุณแม่ท่านดังกล่าวที่เป็นกังวลจากการเห็นลูกของเพื่อนทำสิ่งต่าง ๆ ได้เกินวัย แต่ยังมีพ่อแม่อีกหลายท่านที่มีลูกอยู่หลากหลายวัยเป็นกังวลและทุกข์ใจ เมื่อเห็นลูกของคนอื่นทำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีกว่าลูกของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นพูดภาษาอังกฤษได้คล่องสำเนียงเป๊ะ ไปจนถึง ลูกคนโน้นสอบติดแพทย์ เข้าโรงเรียนดังได้ เป็นต้น

 

จะโทษว่าเป็นความผิดของเทคโนโลยีและโลกอินเตอร์เน็ตก็เห็นจะไม่สมควร เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับมนุษย์เราเท่านั้น ดังนั้นคงต้องกลับมาทบทวนที่ตัวเองว่า เรากำลังเป็นหรือกำลังจะสร้างทุกข์ให้กับตัวเองจากการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ก แบบผิด ๆ หรือไม่

 

 

5 ข้อที่พ่อแม่พึงระวัง หากไม่อยากเป็นทุกข์หรือสร้างทุกข์ให้ลูกเมื่อเล่นโซเชียลเน็ตเวิร์ก

 

❤︎ 1. การเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น และการเปรียบเทียบลูกตัวเองกับลูกของใคร ❤︎

สิ่งที่คนอื่นโพสต์ และสิ่งที่เราเห็นในโซเชียลเน็ตเวิร์กมักนำมาซึ่งการเปรียบเทียบตัวเราเองกับคนอื่น หากเราไม่มีอย่างเขา หรือเป็นอย่างเขา เราจะรู้สึกเป็นทุกข์ทันที และไม่มีพึงพอใจกับสิ่งที่เรามี แม้ว่าสิ่งนั้นจะดีอยู่แล้วก็ตาม

 

พ่อแม่บางคนอาจจะรู้สึกเป็นทุกข์เมื่อลูกของตนไม่ได้ดีเลิศกว่าใคร ๆ จนพยายามกดดันให้ลูกทำให้ดีกว่านี้ ทั้งที่จริงตัวลูกอาจจะเป็นเด็กธรรมดาที่มีความสุขดี ก่อนที่เราจะเริ่มไม่พึงพอใจในสิ่งที่ลูกเป็น

 

สิ่งที่ควรทำ คือ หยุดส่องชีวิตของคนอื่น หากเราไม่มั่นใจว่าตัวเองจะหยุดตัวเองไม่ให้เปรียบเทียบได้ และชื่นชมสิ่งที่เรามี แม้ว่าจะเป็นสิ่งเล็ก ๆ ก็ตาม สำหรับพ่อแม่คือยอมรับและรักลูกอย่างที่เขาเป็น

 

 

❤︎ 2. การเชื่ออย่างลืมหูลืมตา และเเชร์ข้อมูลอย่างไม่กลั่นกรอง ❤︎

ตรวจสอบแหล่งที่มาที่ไป อย่าเชื่อข้อมูลที่ไม่มีแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ หรือข่าวลือที่ส่งต่อ ๆ กันมา การเชื่อข้อมูลเหล่านี้และส่งต่อข้อมูลไปยังผู้อื่น อาจจะนำความทุกข์มาใส่ตัวเราเอง และเป็นการส่งต่อความทุกข์ให้คนอื่นด้วย

 

สำหรับลูกที่โตแล้ว และมีพ่อแม่แชร์ข้อมูลข่าวสารที่ไม่เป็นความจริง เราสามารถคุยกับท่านดี ๆ บอกท่านว่า “เราเป็นห่วง ไม่อยากให้พ่อแม่ถูกมองว่าแชร์ข่าวเท็จ" หรือนำหลักฐานไปแย้งท่านก็ได้ ถ้าท่านไม่หยุดแชร์ แนะนำให้ท่านเสพข่าวที่สร้างสรรค์แทน เช่น ภาพดอกไม้ สัตว์เลี้ยง หมาแมว และอื่น ๆ ที่น่ากลัวกว่าการแชร์ข่าวปลอม คือ การโดนหลอก และโดนโกง บ้านไหนที่มีพ่อแม่สูงวัย ลูก ๆ อาจจะต้องคอยสอดส่องดูแล

 

ลูก ๆ ควรเปิดใจ หากพ่อแม่จะส่ง “สวัสดีวันจันทร์” พร้อมกับภาพดอกกล้วยไม้มาให้ อย่านำมาติดใจ และส่งกลับไปสวัสดีท่านบ้างก็จะเป็นการดี 

 

 

❤︎ 3. การเสพข้อมูล(เรื่องการเลี้ยงลูก)ที่เยอะเกินไป ❤︎

การเสพข้อมูลผ่านการอ่าน ดู ฟัง และติดตามทุกแหล่งข้อมูล อาจจะนำมาซึ่งความทุกข์โดยไม่รู้ตัว เราอาจจะวิตกกังวลจนไม่กล้าลงมือทำอะไร และอาจจะทำให้เราเครียดกับการต้องทำตามหลักการให้ได้ จนลืมสัญชาตญาณความเป็นพ่อแม่ของเราไป

 

สิ่งที่ควรทำคือศึกษาให้เป็นแนวทาง (พัฒนาการเด็กมักจะไม่ดิ้นไปดิ้นมา มีโครงสร้างที่ชัดเจนเป็นลำดับขั้นให้เราเดินตามได้อยู่แล้ว) และลงมือทำให้มากขึ้น ถ้าอันไหนใช้ไม่ได้ผลกับเรา ก็แค่ลองวิธีใหม่ ไม่มีวิธีเลี้ยงลูกใดที่ถูกต้องที่สุด มีเพียงวิธีใดที่เหมาะสมกับครอบครัวของเราที่สุดต่างหาก

 

 

❤︎ 4. การโพสต์ภาพของลูกลงโซเชียลเน็ตเวิร์ก ❤︎

ถ้าหลีกเลี่ยงได้ แนะนำให้หลีกเลี่ยง เพราะภาพที่โพสต์ลงไปแล้วจะคงอยู่ตลอดไปในอินเตอร์เน็ต เมื่อลูกของเราโตขึ้นเขาอาจจะรู้สึกอับอาย และอาจจะโดนกลั่นแกล้งจากสังคมจากภาพที่เราโพสต์ตอนที่เขายังเป็นเด็กก็ได้

 

พ่อแม่หลายคนมองว่า ภาพลูกโป๊ ภาพลูกทำอะไรตลก ๆ เป็นภาพที่น่ารักน่าเอ็นดู แต่สำหรับลูกที่อยู่ในวัยเยาว์ เขาถูกเราละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวโดยที่เขาไม่สามารถปกป้องตัวเองได้เลย ที่สำคัญภาพเหล่านั้นอาจะนำไปสู่การอันตรายอันใหญ่หลวง เช่น การลักพาตัว การล่วงละเมิดทางเพศ และอื่น ๆ เพราะภาพเหล่านั้นมีรายละเอียดของเด็ก โรงเรียน ชื่อ ที่อยู่ และกิจวัตรที่เด็กทำเป็นประจำ

 

ดังนั้นอยากอวดความน่ารักของลูก เราแบ่งปันไว้ดูในครอบครัวของเราดีกว่า อย่าโพสต์ลงโซเชียลเน็ตเวิร์กเลย หรือเปลี่ยนมาเป็นเขียนเล่าเรื่องถึงสิ่งที่ลูกทำ อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ในกรณีที่ลูกของเราโตแล้ว ถามเขาก่อนว่า เขารู้สึกสะดวกใจไหมที่เราจะลงภาพถ่ายของเขาลงในโซเชียลเน็ตเวิร์กของเรา

 

 

❤︎ 5. อย่าลืมออกไปใช้ชีวิตจริง ❤︎

ชีวิตจริงสำคัญกว่าชีวิตจำลองมากมาย ออกไปใช้ชีวิต และให้เวลาคุณภาพกับลูกและคนที่เรารักดีกว่า เพราะสุดท้าย 'ยอดไลก์' จากภาพที่เราถ่าย คำพูดที่เราโพสต์ก็ไม่สามารถให้ความสุขกับเราได้อย่างยั่งยืน ลูกต้องการเรา ปิดหน้าจอแล้วออกไปใช้เวลากับลูกและคนที่เรารักกัน

 

 

..."ตัวเราและลูกอาจจะไม่ต้องดีเลิศเลอ ไม่ต้องเหมือนใคร ๆ และไม่ต้องให้ใครมารับรู้หรือชื่นชม ขอแค่มีชีวิตที่ธรรมดาไม่หวือหวา อาจจะเป็นชีวิตที่ดีและมีความสุขที่สุดแล้ว"...

 

 

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง