อารมณ์ สีหน้า แววตา สดใส
พื้นฐานครอบครัวคือสิ่งสำคัญ
พ่อแม่ต้องเข้าใจธรรมชาติข้อนี้ของเราและลูก และจำเป็นอย่างมากที่จะต้องรู้เท่าทันตัวเอง แล้วค่อย ๆ ใคร่ครวญให้ดีว่า เรื่องนี้ควรช่วยมั้ย อย่าปล่อยให้ธรรมชาติของเราลากตัวเราไปช่วยลูก โดยไม่เว้นช่วงเวลาให้ลูกได้ “ลองทำ” ทั้งลองทำถูกและลองทำผิด
หากพ่อแม่ยับยั้งตัวเองได้ ค่อย ๆ พิจารณางานนั้นอย่างมีสติ เราจะเห็นว่า งานบางอย่างลูกน่าจะทำได้เลย ก็เชียร์ให้ลูกทำเองซะ เขาจะได้ภูมิใจในตัวเอง หรือหากงานบางอย่าง อาจจะทำได้บ้าง แต่ไม่สามารถทำได้ทั้งหมด เราก็เชียร์ลูกทำพร้อม ๆ กับลุ้นไปกับเขา อย่าผลีผลามช่วยเร็วไป หรือแม้ว่างานนั้นดูยากจริง ๆ ก็ควรเชียร์ลูกทำอยู่ดี เพราะลูกควรจะเจอของยากตอนมีพ่อแม่ ให้ลูกได้ลิ้มรส “ความอดทนที่ไม่สำเร็จ” ได้ลิ้มรส “ความโกรธตัวเองที่ทำไม่ได้” ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติของคนเรา
พ่อแม่ที่อยู่กับลูกก็ทำหน้าที่แสดงความเข้าใจ รับรู้ความเจ็บใจของลูก นั่งใกล้ ๆ ลูก ให้เขารู้ว่า พ่อแม่ให้กำลังใจ แล้วพอลูกค่อย ๆ ดีขึ้น ก็เชียร์ให้ลูกค่อย ๆ ทำใหม่ เพราะลูกอาจท้อ อาจบอกพ่อแม่ทำให้หน่อย พ่อแม่จะค่อย ๆ ช่วยทีละนิด ๆ เพื่อให้ลูกรู้วิธีที่จะทำให้สำเร็จ แต่ลูกก็ต้องเป็นคนลงมือทำอยู่ดี
พวกเราลองจินตนาการดูซิ หากลูกลิ้มรส “ความอดทนที่ไม่สำเร็จ” และลิ้มรส “ความโกรธตัวเองที่ทำไม่ได้” แล้วพ่อแม่ก็ลงมือช่วยทำให้เลย ลูกจะได้เรียนรู้อะไร ? ลูกเรียนรู้ว่าพ่อแม่เป็นฮีโร่ (ซึ่งก็ดีนะในมุมหนึ่ง) แต่ลูกจะเรียนรู้ในส่วนของตัวเองว่า ความอดทนที่ไม่สำเร็จ ยังไงก็ไม่สำเร็จ พ่อแม่ถึงเข้ามาช่วย
ดังนั้นนอกจากพ่อแม่ต้องมีสติ เพื่อชะลอการช่วยเหลือลูกแล้ว พ่อแม่ยังต้องสามารถปรับโหมดมาแสดงความเข้าใจลูกในยามที่เขาอารมณ์เสียตอนทำไม่ได้ด้วย... อย่าไปช่วยลูกทันทีเพื่อหวังให้ลูกยิ้มได้ เราอาจรักลูกไม่ถูกทาง!...ณ ตอนนี้การช่วยที่ดีที่สุด คือ ช่วยเข้าใจ ไม่ใช่ช่วยทำให้
ทำอะไรก็สำเร็จหรือไม่สำเร็จแต่พ่อแม่ก็ทำให้จนสำเร็จอยู่ดี ลูกไม่เคยลิ้มรส ความอดทนที่ไม่สำเร็จ พอโตเป็นผู้ใหญ่ วันที่พ่อแม่ไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ แล้วชีวิตมันก็ต้องมีสถานการณ์แบบนี้แน่นอน ผู้ใหญ่คนนั้นจะรับมือกับอารมณ์นี้ยังไง อดทนแค่ไหนก็ไม่สำเร็จ เด็กเลยคิดว่าเลิกดีกว่า ปล่อยให้เด็กได้ลองเองก่อน แล้วเราค่อย ๆ สอนทีหลังก็ได้