3
"เด็กพลังล้นเหลือ" ปรับให้พอดี เรียนรู้ที่จะช้าลง

"เด็กพลังล้นเหลือ" ปรับให้พอดี เรียนรู้ที่จะช้าลง

โพสต์เมื่อวันที่ : November 30, 2024

 

ธรรมชาติของเด็ก คือ มนุษย์ที่อยู่ในช่วงวัยที่ทุกอย่างเกิดขึ้นเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ร่างกาย แขนขา นิ้วมือ สมอง เติบโตเงียบ ๆ แต่เพียงพริบตาเดียวเด็ก ๆ ก็โตมากขึ้นแล้ว ดังนั้นวัยนี้จึงเต็มไปด้วยพลังงานที่จะทำสิ่งต่าง ๆ เคลื่อนไหว และเรียนรู้

 

เด็กบางคนมีพลังงานมากกว่าเด็กคนอื่น ๆ ทำให้ไม่อาจหยุดนิ่ง อยากทำสิ่งต่าง ๆ ตลอดเวลา แม้จะเป็นเรื่องดีที่เด็ก ๆ กระตือรือร้นและเต็มไปด้วยพลัง แต่ถ้าหากนำไปใช้อย่างไม่เหมาะสม ก็อาจจะเกิดผลเสียตามมาได้ เช่น วิ่งเร็วจนขาดการระมัดระวัง ชนคน ชนสิ่งของ จนทำให้ตัวเองและผู้อื่นบาดเจ็บ และข้าวของเสียหาย หรือ ทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยความรวดเร็ว แต่ขาดความรอบคอบ ทำให้ทำผิด ทำพลาด และต้องทำใหม่ กลายเป็นจากทำเร็ว ต้องทำใหม่และเสียเวลามากกว่าเดิม

 

อย่างไรก็ตามเด็ก ๆ ทีมีความรวดเร็วและพลังเยอะแตกต่างจากเด็กที่มีปัญหาสมาธิสั้น ดังนี้...

 

  1. เด็กซนตามวัย แต่ไม่ซนในทุกที่ ทุกสถานการณ์ เมื่อถูกห้ามหรือสอนอย่างเหมาะสม จะสามารถหยุดพฤติกรรมได้ 
  2. เมื่อถึงวัยเรียนรู้ เริ่มเข้าโรงเรียน เด็กสามารถจดจ่อได้เมื่อต้องเรียนรู้ และสามารถทำงานได้สำเร็จ
  3. เมื่อต้องตัดสินใจ หรือ ทำสิ่งสำคัญ จะไม่มุทะลุหุนหันพลันแล่น สามารถหยุดและคิด ระวัง ก่อนจะตัดสินใจหรือทำสิ่งนั้น

 

 

ถ้าหากเรามีข้อสงสัยว่าลูกเป็นเด็กสมาธิสั้นหรือไม่ ควรปรึกษาคุณหมอ เพื่อได้รับคำแนะนำหรือคำวินิจฉัยที่ถูกต้องต่อไป สำหรับแนวทางในการรับมือกับเด็ก ๆ ทีมความรวดเร็วปรู๊ดปร๊าดพลังเยอะ มีดังนี้...

 

🔻 1. "มีกติกาและตารางเวลาที่ชัดเจน" เพื่อให้เด็ก ๆ เรียนรู้วินัยเป็นโครงสร้างที่ช่วยจัดระเบียบความคิดที่ดี เด็กที่ทำตามกติกาและตารางเวลาได้ จะมีความสามารถในการยับยั้งชั่งใจที่ดี ทำให้ตัวเองที่รวดเร็ว แต่หยุดตัวเองเป็นเมื่อถึงคราวจำเป็น เหมือนรถที่มีเบรกนั่นเอง

 

  • ตารางเวลาชีวิตประจำวัน เช่น เวลาตื่นนอน เวลากินข้าว เวลาเล่น เวลานอน เมื่อเด็ก ๆ เข้าโรงเรียน เขาต้องทำการบ้านหรือทำงานบ้านให้เสร็จก่อนไปเล่น
  • กติกาพื้นฐานที่จำเป็นกับทุกบ้าน ได้แก่ กฎ 3 ข้อ ไม่ทำร้ายตัวเอง ไม่ทำร้ายผู้อื่น ไม่ทำลายข้าวของ

 

นอกจากนี้เวลาไปที่ใด ทำกิจกรรมอะไร เล่นเกม เล่นกีฬา เด็ก ๆ ต้องเรียนรู้ที่จะเคารพกติกาเหล่านั้นเช่นกัน เช่น ถ้ามีคิวต้องต่อคิวเพื่อซื้อของหรือเล่นสิ่งใด ถ้าเล่นเกมต้องไม่ข้ามตาคนอื่น ถ้าไปกินข้าวที่ร้านอาหารก็ไม่วิ่งเล่น นั่งที่โต๊ะกินอาหารดี ๆ

 

 

🔻 2. "ให้เด็ก ๆ ได้เล่นและเคลื่อนไหวอย่างอิสระ" เพื่อให้เด็ก ๆ ได้ปล่อยพลังที่มีอย่างเหมาะสมและรับสัมผัสสิ่งใหม่ ๆ (Sensory) โดยเราอาจจะพาเด็ก ๆ ไปเล่นที่สวนสาธารณะ ไปวิ่งเล่นที่สนาม ไปเล่นกีฬาที่เด็ก ๆ สนใจ หรือ ชวนไปเที่ยวข้างนอกบ้างเพื่อให้เด็ก ๆ ได้ทำสิ่งใหม่ ๆ เพื่อให้เด็ก ๆ ปรับตัวอย่างเหมาะสม

 

ในความเป็นจริงแล้วเด็กเล็กจำเป็นต้องเคลื่อนไหวร่างกาย จนหัวเปียกชุ่มด้วยเหงื่ออย่างน้อย 2 - 3 ชั่วโมงต่อวัน โดยอาจจะแบ่งช่วงเวลาเล่นเป็น 30 - 60 นาทีช่วงเช้า 30 - 60 นาทีช่วงบ่าย และ 30 - 60 นาทีช่วงเย็นก็ได้

 

  • กิจกรรมที่ปล่อยพลังได้ดี ได้แก่ เล่นน้ำ ว่ายน้ำ เล่นทราย ปีนป่ายเครื่องเล่นหรือต้นไม้ 

 

 

🔻 3. "ฝึกทำกิจกรรมที่ต้องระมัดระวัง หรือ มีความท้าทาย" เมื่อเด็ก ๆ ต้องทำกิจกรรมที่ต้องระมัดระวังและท้าทาย เด็ก ๆ จะช้าลงโดยธรรมชาติ เช่น…

  • การทำอาหารในครัว ใช้มีดหั่นอาหาร ตอกไข่ แกะเปลือกไข่ต้ม ใช้เตา โดยมีเราดูแลไม่ห่าง
  • การทำงานบ้าน ล้างจาน (ที่ตกแตกได้) รินน้ำใส่แก้ว เช็ดกระจก จัดแจกันดอกไม้
  • การทำงานศิลปะและประดิษฐ์ ระบายสี ตัดกระดาษ แปะกาว แกะสติกเกอร์ พับกระดาษ
  • เล่นสิ่งที่ต้องสังเกตเยอะ ๆ ต่อบล็อก ต่อเลโก้ ต่อจิ๊กซอว์ ต่อ Tangram เกมหาของ
  • เล่นเคลื่อนไหวร่างกายในที่สูง ปีนต้นไม้ ปีนเครื่องเล่น ปีนหน้าผา ยิ่งสูง ยิ่งต้องระวัง
  • เล่นข้ามอุปสรรค สมมติให้พื้นเป็นลาวาแล้วห้ามเหยียบพื้น ปั่นจักรยานหลบสิ่งกีดขวาง

 

 

🔻 4. "เมื่อเด็ก ๆ ทำผิดพลาดหรือทำไม่เหมาะสมให้เขารับผิดชอบต่อการกระทำเสมอ" ถ้าเด็ก ๆ ทำผิดพลาด จากการทำอะไรรวดเร็วจนไม่รอบคอบ ไม่ระวัง สอนให้เขารับผิดชอบต่อสิ่งนั้น เช่น...

 

  • ถ้าเขาทำน้ำหก สอนให้เขาเช็ดด้วยตัวเอง
  • ถ้าเขาทำของหก สอนให้เขาเก็บกวาด
  • ถ้าเขาทำงานผิด สอนให้เขาทำสิ่งนั้นใหม่ เพื่อเป็นการฝึกฝน
  • ถ้าเด็ก ๆ ทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมต่อผู้อื่น เพราะคาดการคิดก่อนทำ สอนให้เขารับผิดชอบเสมอ “ขอโทษ” อีกฝ่าย “ชดเชย” ด้วยการรับผิดชอบในสิ่งที่ทำได้ เช่น ช่วยงานอีกฝ่าย เขียนจดหมายขอโทษ “ไม่ทำผิดซ้ำเดิม” 

 

 

🔻 5. "ให้เขาลองทำสิ่งใหม่ ๆ ที่ท้าทายอยู่เสมอ" เด็กที่เต็มไปด้วยพลัง เป็นข้อดีที่ควรรักษาให้อยู่กับตัวเด็ก ๆ ไปจนโต เพราะสิ่งนี้จะช่วยให้เขาสร้างสรรค์และทำสิ่งต่าง ๆ ได้อีกมากมายในอนาคต การทำเช่นนั้นได้ เราต้องให้เขาทำสิ่งท้าทายใหม่บ้าง เพราะถ้าทำเพียงสิ่งเดิม เด็กจะอยู่แต่ Comfort Zone ที่คุ้นเคย พลังแห่งการสร้างสรรค์จะไม่เกิดขึ้น

 

ตัวอย่างที่ดีสำคัญมาก พ่อแม่และผู้ใหญ่รอบตัวเด็ก ๆ ต้องชวนเขาทำสิ่งต่าง ๆ หรือ ออกไปทำสิ่งใหม่ ๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งพิเศษหรือหวือหวา เพราะทุกอย่างสามารถสร้างการเรียนรู้ให้เด็ก ๆ ได้

 

เตรียมพื้นที่ และอุปกรณ์ให้เด็ก ๆ เช่น ของเล่นและอุปกรณ์ Freeform (ตัวต่อ เลโก้ หิน ไม้ไอศกรีม กระดาษ ดินน้ำมัน สีต่าง ๆ) แต่ไม่ชี้นำผ่านคำสั่งว่าเขาทำอะไร ให้เด็กสร้างสรรค์การเล่นด้วยตัวเอง

 

ถ้าเด็ก ๆ คิดไม่ออก หรือ เบื่อ หนังสือนิทานและหนังภาพต่าง ๆ คือแหล่งขุมทรัพย์ในการจุดไฟให้เด็กสร้างสรรค์ ชวนเด็ก ๆ อ่านเรื่องราวที่เขาสนใจ เด็ก ๆ จะนำเรื่องราวไปสานต่อด้วยตัวเอง

 

 

🔻 6. "เด็กใจร้อน ผู้ใหญ่ยิ่งต้องใจเย็น" การที่เด็ก ๆ ทำสิ่งต่าง ๆ อย่างรวดเร็วด้วยความใจร้อน ผู้ใหญ่ไม่ควรไหลตามความรวดเร็วของเด็ก ๆ เราต้องยืนหยัดและช้าลง ด้วยหลักการง่าย ๆ 

 

  • สิ่งใดเด็กทำได้เอง เราอย่าทำให้เขา
  • สิ่งใดเด็กทำไม่ได้ ให้เราสอนเขาตามวัย
  • สิ่งใดเด็กทำไม่ได้ และต้องการความช่วยเหลือ ให้เราลองให้เขาทำเองก่อน 2 - 5 นาที แล้วค่อยช่วย
  • การตกลงกำหนดเวลาให้กิจกรรมต่าง ๆ จะช่วยให้เมื่อต้องยุติกิจกรรมนั้นง่ายขึ้น อย่างไรก็ตามถ้าเด็กมีแนวโน้มไม่ยอมหยุดทำกิจกรรมนั้น ให้เราบอกเขาล่วงหน้าก่อนหมดเวลา 5 นาที

 

 

สุดท้าย เด็กที่รวดเร็วปรู๊ดปร๊าดก็เป็นเด็กคนหนึ่ง เขาต้องการความรักและการยอมรับ ที่สำคัญคือการสอนและฝึกฝนไม่ต่างจากเด็ก ๆ ทั่วไป แต่ผู้ใหญ่ต้องเข้าใจธรรมชาติของเขาและไม่ทำลายสิ่งดี ๆ ในตัวเขา เราเพิ่มเบรกให้เขาด้วยการมอบวินัย ไม่ตามใจเขาในสิ่งที่ไม่เหมาะสม และเมื่อเราเชื่อมั่นในตัวเขา เด็กจึงพัฒนาเติบโตต่อไปได้

 

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง