96
5 วิธีรับมือเด็กที่มี "ความวิตกกังวลสูง"

5 วิธีรับมือเด็กที่มี "ความวิตกกังวลสูง"

โพสต์เมื่อวันที่ : December 18, 2024

 

บางสิ่งบางอย่างก็ติดตัวเด็ก ๆ มาตั้งแต่ในวันที่เขาเกิด ทั้งนี้ไม่เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมรอบตัวเขาจะเป็นอย่างไร พ่อแม่จะมีวิธีการเลี้ยงดูเขาแบบไหน บางครั้งเด็กก็เกิดมาเป็นตัวเขาเองเช่นนั้น

 

พื้นฐานอารมณ์” คือวิธีที่เด็กตอบสนองต่อโลก ลักษณะพฤติกรรมที่เด็กจะตอบสนองต่อสถานการณ์นั้น ๆ ในสถานการณ์เดียวกัน เด็กที่พื้นฐานอารมณ์ต่างกัน อาจจะตอบสนองต่างกัน เช่น เด็กเพิ่งดูดอกไม้ไฟครั้งแรก เด็กคนหนึ่งร้องกรี๊ดกร๊าดอย่างสนุกสนาน ในขณะที่เด็กอีกคนกลัวร้องไห้ไปหลบหลังพ่อแม่ เป็นต้น

 

พื้นฐานอารมณ์ของเด็กมี 3 แบบ (Thomas & Chess, 1987) 

  1. เด็กเลี้ยงง่าย (The easy child) อารมณ์ดี ยิ้มง่าย ปรับตัวง่าย กินง่าย นอนง่าย เข้ากับผู้อื่นง่าย ชอบประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่ท้าทาย 
  2. เด็กเลี้ยงยาก (The difficult child) ร้องไห้บ่อย หงุดหงิดง่าย เเปรปรวนเร็ว ปรับตัวยาก กินยาก นอนยาก ปฏิเสธหรือต่อต้านสิ่งใหม่ ๆ
  3. เด็กปรับตัวช้า (The slow to warm up child) มักตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ ช้า ปรับตัวช้า แต่ปรับตัวได้ถ้าให้เวลาเขาเพียงพอ และช่วยกระตุ้นเขาผ่านการฝึกฝนที่มากกว่าปกติ

 

สำหรับเด็ก ๆ ที่ไม่สามารถจัดอยู่ในทั้ง 3 แบบนี้ได้ จะเป็นเด็กที่มีลักษณะพื้นฐานอารมณ์ที่เป็นแบบผสม (The mixed child) ซึ่งจะมีส่วนไหนมากน้อยก็ขึ้นกับเด็กแต่ละคน ซึ่งในเด็กที่มีความวิตกกังวลสูงมักจะอยู่ในกลุ่มเด็กเลี้ยงยากซึ่งปรับตัวยากและเด็กปรับตัวช้า เนื่องจากการปรับตัวกับสภาพแวดล้อมของเด็กส่งผลโดยตรงต่อความกังวลที่เกิดขึ้น เด็กที่ปรับตัวง่ายมักจะกังวลน้อยกว่าเด็กที่ปรับตัวช้าหรือปรับตัวยาก

 

 

รับมือกับเด็กที่มีความวิตกกังวลสูง

 

🔻 1. พ่อแม่คือบ้านหลังแรกที่ปลอดภัยและอบอุ่น

พ่อแม่ควรเป็นบ้านที่ปลอดภัยและอบอุ่นใจสำหรับลูก เพราะไม่ใช่แค่เพียงเด็กที่ีมีความวิตกกังวลสูงที่ต้องการพ่อแม่ที่รักและยอมรับในตัวเขา แต่คือเด็กทุกคนที่ต้องการเช่นเดียวกัน

 

บ้านที่ปลอดภัย ไม่ได้เป็นเพียงแค่สถานที่และปัจจัยสี่ แต่คือ “ความรักที่ปราศจากเงื่อนไข” ที่แสดงผ่านการบอกรักตรงไปตรงมา สัมผัสด้วยรักที่อ่อนโยนและกอดอบอุ่น การรับฟังในทุก ๆ เรื่องราว และการมีเวลาคุณภาพกับเด็ก ๆ เช่น อ่านหนังสือ เล่น ทำงานบ้าน และทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยกัน ความสัมพันธ์ที่ดี สร้างบ้านที่อบอุ่น และพ่อแม่ที่ีมีอยู่จริง ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญทางใจของเด็ก ๆ ทุกคน

 

 

🔻 2. ให้โอกาสและเวลาในการเรียนรู้และปรับตัว 

เด็กบางคนเรียนรู้ได้ตั้งแต่ครั้งแรก แต่เด็กบางคนเรียนรู้ได้ในครั้งที่ร้อย เรียนรู้เร็วหรือช้า มากหรือน้อย ขอให้พ่อแม่เชื่อเสมอว่า “เด็กทุกคนเรียนรู้และเติบโตได้” เมื่อเราเชื่อเช่นนั้นเราจะอดทนและรอคอยเด็ก ๆ ได้

 

การปรับตัวของเด็ก ๆ ที่มีความกังวล อาจจะเกิดขึ้นได้ช้ากว่าเด็กทั่วไป แต่ทุกครั้งที่เผชิญสิ่งนั้น จากสิ่งใหม่ จะค่อย ๆ กลายเป็นสิ่งที่คุ้นเคย จากสิ่งที่ทำไม่ได้ ค่อย ๆ กลายเป็นสิ่งที่ทำได้ เมื่อนั้นเด็ก ๆ จะสามารถปรับตัวและเรียนรู้ต่อไปได้

 

 

🔻 3. ให้ลูกได้ช่วยเหลือตัวเองและเป็นเด็กตามวัย

เด็กทุกคนเมื่อช่วยเหลือตัวเองและทำสิ่งต่าง ๆ ได้ตามวัย เด็กจะรับรู้ความสามารถและประเมินตัวเองได้ตรงตามความเป็นจริงมากขึ้น การตระหนักรู้สิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่ความมั่นใจและความกังวลที่ลดลง เมื่อไปในที่ใหม่ ๆ เขาสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้เอง แม้จะไม่มีเราอยู่ตรงนั้น

 

ดังนั้นเด็ก ๆ ควรช่วยเหลือตัวในสิ่งที่ทำได้ ให้มากที่สุด พ่อแม่และผู้ใหญ่คอยสอนและแนะนำ อย่าทำให้ในสิ่งที่เด็ก ๆ ทำได้ เพราะเราจะพรากโอกาสในการรับรู้ความสามารถของเด็ก ๆ ลง และความกังวลจะมากขึ้นเมื่อเด็ก ๆ ไม่มีเราเคียงข้างคอยทำสิ่งต่าง ๆ ให้เหมือนทุกที นอกจากนี้การให้ลูกได้เป็นเด็กตามวัย ผ่านการให้ลูกได้วิ่งเล่น ได้หัวเราะ ได้เรียนรู้ตามวัย เด็กจะมีวัยเด็กที่เต็มอิ่ม เขาจะไม่กดดันหรือกังวลเมื่อต้องเติบโตไปสู่วัยต่อไป

 

 

🔻 4. สอนการสื่อสารและการแก้ปัญหา 

เด็กที่สื่อสารบอกความต้องการและปฏิเสธได้ จะสามารถปกป้องตัวเองได้ดีกว่าเด็กที่ไม่สามารถสื่อสารสิ่งเหล่านี้ได้ ซึ่งการสื่อสารเริ่มต้นจากที่บ้าน พ่อแม่และผู้ใหญ่ในบ้านต้องไม่รู้ใจเด็ก ๆ ทำทุกอย่างให้เด็ก ๆ โดยที่เขายังไม่พูดบอกออกมา เพราะเมื่อเขาก้าวไปสู่รั้วโรงเรียนและสังคม เด็ก ๆ จะเคยชินกับการไม่สื่อสาร เมื่อคนอื่นไม่รู้ใจเขา เด็ก ๆ จะพลาดโอกาสในการเรียนรู้ และไม่สามารถปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง

 

ดังนั้นสอนและรอให้เด็ก ๆ พูดบอก และอธิบายสิ่งที่ต้องการด้วยตัวเขา เพื่อฝึกฝนและนำไปใช้ต่อไป นอกจากนี้การสื่อสารนำไปสู่การแก้ปัญหา เด็กทุกคนที่สื่อสารได้ดี จะสามารถขอความช่วยเหลือ หรือ ถามคนอื่นเมื่อต้องการรู้คำตอบ เมื่อเด็กสื่อสารได้ดี ความวิตกกังวลจะลดลง

 

 

🔻 5. ขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ

ในเด็กบางคนที่มีความวิตกกังวลที่สูงมากจนรบกัวชีวิตประจำวันหรือการเรียนรู้ในโรงเรียน

 

ยกตัวอย่าง

Selective mutism (SM) หรือ ภาวะที่เด็กไม่พูดในบางสถานการณ์หรือสถานที่ที่จำเพาะ เช่น ห้องเรียน สถานที่สาธารณะต่าง ๆ แต่สามารถพูดเป็นปกติได้ในสถานการณ์ อื่น ๆ เช่น ที่บ้าน เด็กจะมีอาการกลัวทางสังคม (social phobia) (AmericanPsychiatric Association, 2013) ซึ่งอาการจะเริ่มต้นตอนอายุประมาณ 3-6 ปี (แต่ได้รับคำวินิจฉัยช่วง 5-8 ปี) (Wong, 2010) เด็กไม่ใช่แค่เพียงเขินอาย แต่พวกเขากลัวมาก ๆ ที่จะพูดในสังคม 

 

Generalized Anxiety Disorder (GAD)  หรือภาวะวิตกกังวลทั่วไป เป็นภาวะทางจิตใจที่ส่งผลกระทบเป็นเวลานาน เด็กจะมีความเครียดหรือกังวลมากไปในหลายเรื่อง บางครั้งอาจไม่บอกสาเหตุของความกังวลได้ ทำให้ไม่มีสมาธิ นอนไม่หลับ มีอาการทางกายโดยไม่ทราบสาเหตุ เช่น ปวดท้อง ปวดหัว ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้

 

 

สุดท้ายเด็กทุกคนต้องการพ่อแม่ที่ยอมรับและเชื่อมั่นในตัวเขา ดังนั้นขอให้เราเชื่อมั่นและอดทนรอคอยอย่างมั่นคง แม้จะช้าไปบ้าง แต่เด็กทุกคนแบ่งบานได้เมื่อเวลาของเขามาถึง

 

 

อ้างอิง : Chess, S. & Thomas A. (1987). Temperamental individuality from childhood to adolescence. Journal of Child Psychiatry, 16, 218-26